ตามที่ทราบกันว่า ขณะนี้ ประเทศไทยได้ใช้ ยาฟาวิพิราเวียร์ และฟ้าทะลายโจร รวมทั้งยาเรมเดซิเวียร์ ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 โดยล่าสุดได้มีการสั่งซื้อยาตัวใหม่อย่าง “โมลนูพิราเวียร์” เข้ามาใช้อีกชนิดหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้แบ่งการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ตามระยะอาการต่างๆ คือ 1.ผู้ป่วยสีเขียว อาการไม่รุนแรง หรือติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ (ฟ้าทะลายโจร) 2.ผู้ป่วยสีเหลือง กลุ่มที่เริ่มมีความเสี่ยงของโรครุนแรง (ยาฟาวิพิราเวียร์) 3.ผู้ป่วยสีแดง ที่มีอาการหนัก ไม่รู้สึกตัว กินยาไม่ได้ (กลุ่มนี้จะได้รับยาเรมเดซิเวียร์)
ตามแนวทางหลักของการรักษาผู้ป่วยโควิด-19ในประเทศไทย มียารักษาโควิดที่ใช้ คือ ยาฟาวิพิราเวียร์ ยาเรมเดซิเวียร์ ในคนที่กินยาฟาวิพิเราเวียร์ไม่ได้ เช่น ตั้งครรภ์ หรือกินอะไรไม่ได้ และแพทย์บางคนหลังจากใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ 5 วันไม่ได้ผล ก็เปลี่ยนเป็นยาเรมเดซิเวียร์เลย
ยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir)
ยาโมลนูพิราเวียร์เป็นยาต้านไวรัสก่อโรคโควิด-19 ชนิดเม็ดตัวแรก จะออกฤทธิ์ยับยั้งการจำลองตัวเองของเชื้อไวรัส ที่จะแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนมากขึ้น ซึ่งไม่ได้ออกฤทธิ์ต่อตัวหนามของเชื้อไวรัส จึงทำให้ยับยั้งเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ ทั้งดั้งเดิม เดลตา แกมมา หรือมิว เป็นต้น
โดยใช้ในผู้ป่วยอาการเล็กน้อยถึงปานกลางและยังไม่ได้รับวัคซีน ให้ยาภายใน 5 วัน ตั้งแต่เริ่มมีอาการ คือ ต้องให้ยาเร็ว และ มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรง เช่น ภาวะอ้วน อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป มีโรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคมะเร็ง
จากข้อมูลการทดลอง ในผู้ที่ได้รับยา 775 คน แบ่งเป็นได้ยาโมลนูพิราเวียร์ 385 คน และยาหลอก 377 คน โดยให้ยาเม็ดละ 200 มิลลิกรัม ครั้งละ 4 เม็ด 800 มิลลิกรัม เช้า-เย็น รวมวันละ 1,600 มิลลิกรัมเป็นเวลา 5 วันรวม 40 เม็ด พบว่า ลดความเสี่ยงการนอนโรงพยาบาล และเสียชีวิตประมาณ 50 % ไม่พบผู้เสียชีวิตในผู้ที่ได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ และผู้ที่ได้รับยาหลอกเสียชีวิต 8 ราย
แต่ในการทดลองใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ในผู้ป่วยที่มีอาการหนัก พบว่า ไม่ได้ผล จึงได้ยกเลิกการวิจัย
แนวทางใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ในไทย ข้อมูลขณะนี้ ผลการศึกษาวิจัยยังไม่ครอบคลุมการใช้ยาในเด็ก โดยส่วนใหญ่ยังใช้ในผู้ใหญ่เป็นหลัก ซึ่งคาดการณ์ว่า ยาโมลนูพิราเวียร์ จะเข้าไทยราวช่วง พ.ย.64 หรือ ม.ค.65 โดยมีการหารือและยกร่างสัญญาจัดซื้อแล้ว
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเป็นประเทศรายได้ปานกลางจะจัดซื้อในราคาที่ถูกกว่าประเทศรายได้สูง แต่จะแพงกว่าประเทศรายได้ต่ำ เป็นไปตามข้อกำหนดของบริษัทผู้ผลิต
ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir)
ยาฟาวิพิราเวียร์ มีกลไกจากออกฤทธิ์ เช่นเดียวกับ ยาโมลนูพิราเวียร์ คือ ยับยั้งไวรัส แต่ ยาโมลนูพิราเวียร์นั้นถูกออกแบบมา เพื่อเป็นการยับยั้งไวรัสก่อโรคโควิด-19โดยเฉพาะ ขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นยาที่ยับยั้งไวรัสตัวอื่นๆ ได้เช่นกัน ไม่ใช่เฉพาะแค่ไวรัสก่อโรคโควิด -19 เท่านั้น ที่สำคัญคือผู้ป่วยจะต้องได้รับยาเร็วเช่นเดียวกัน
ยาฟาวิพิราเวียร์ขึ้นทะเบียนเป็นยาสำหรับรักษาไข้หวัดใหญ่ แต่เป็นยาที่ออกฤทธิ์กว้าง จึงใช้ได้กับโรคติดต่ออื่น ๆ โดยจะขัดขวางการสร้าง RNA ของไวรัสชนิดต่าง ๆ ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส ทำให้เชื้อไวรัสกลายพันธุ์จนภูมิต้านทานของร่างกาย สามารถเข้าไปกำจัดไวรัสได้หมด
ที่ผ่านมา ไทยใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ในกลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง ที่เริ่มมีความเสี่ยงของโรครุนแรง โดยจะได้รับยาทั้งในรูปแบบที่เป็นเม็ดและเป็นน้ำ ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ โดยเป็นยาที่ต้องกินภายใต้การควบคุมของแพทย์เท่านั้น
สำหรับผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง ที่ได้รับ “ยาฟาวิพิราเวียร์” คือกลุ่มที่เริ่มมีอาการของโรค เช่น ไข้สูง รวมถึงผู้ป่วยที่มีอาการโรคร่วม หรือ กลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง เช่น ความดัน เบาหวาน โรคอ้วน โรคไต โรคหัวใจ-ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยไม่แนะนำให้ใช้กับผู้ที่ยังไม่มีอาการ หรือใช้เพื่อป้องกันโรค
ด้านผลข้างเคียงของยา อาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ตา เล็บหรือผิวหนังเปลี่ยนสี เป็นสีม่วงอมน้ำเงิน และพบตาเรืองแสงได้ในผู้ป่วยบางราย แต่ไม่เป็นอันตราย และไม่กระทบต่อการมองเห็น อาการนี้จะสามารถหายได้เอง เมื่อหยุดยาประมาณ 14 วัน หรืออาจทำให้ตับทำงานหนัก ส่งผลให้ตับอักเสบได้
ข้อควรระวัง การใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ในหญิงตั้งครรภ์ อาจเสี่ยงเกิดผลกระทบต่อทารกในครรภ์ หากใช้เกินความจำเป็น อาจส่งผลให้เกิดการดื้อยาของเชื้อไวรัส และทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง
ยาฟาวิพิราเวียร์ จะใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น โดย ขนาดยาที่ใช้สำหรับผู้ใหญ่ ให้ครั้งละ 9 เม็ด ทุก ๆ 12 ชั่วโมงในวันแรก วันต่อมาลดเหลือครั้งละ 4 เม็ด ทุก ๆ 12 ชั่วโมง โดยขนาดยาสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักมากกว่า 90 กก.ให้ครั้งละ 12 เม็ด ทุก ๆ 12 ชั่วโมงในวันแรก วันต่อมาลดเหลือครั้งละ 5 เม็ด ทุก ๆ 12 ชั่วโมง
ขนาดยาสำหรับผู้ป่วยเด็ก ต้องมีการคำนวณขนาดยาตามน้ำหนักตัว โดยผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาตามวันและเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ทานติดต่อกัน 5-10 วัน ขึ้นอยู่กับอาการของโรค และดุลยพินิจของแพทย์
ฟ้าทะลายโจร
ยาฟ้าทะลายโจรนั้น จะให้ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อแต่ยังไม่มีอาการ ส่วนที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางจะให้ยาฟาวิพิราเวียร์
การใช้ยาฟ้าทะลายโจร กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้แนะนำว่า จะต้องใช้อย่างระมัดระวังภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ควรรับประทาน 180 มก./วัน แบ่งวันละ 3 ครั้งต่อเนื่อง 5 วัน ส่วนเด็กอายุ 4 ปีขึ้นไปรับประทาน 3.5-5 มก./วัน แบ่งวันละ 3 ครั้งต่อเนื่อง 5 วัน ห้ามใช้เกิน 5 วัน
ข้อห้ามใช้ คือผู้ที่มีอาการแพ้ หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร เพราะอาจกระทบทารกได้ ผู้ป่วยโรคตับและไต อาจทำให้ยาสะสมในร่างกาย เนื่องจากกำจัดยาได้ช้า รวมถึงผู้ที่รับประทานยาตัวอื่น เช่น วาร์ฟาริน แอสไพริน โคลพิโดเกรล ยาลดความดันโลหิต
ยาฟ้าทะลายโจร ยาที่ใช้รักษาในกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว หรือผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย โดยเมื่อเข้าสู่ระบบ Home Isolation หรือ Hospitel จะได้รับยาเพื่อรักษาอาการเบื้องต้น โดยช่วยลดการอักเสบ ไข้ ไอ เจ็บคอ ปรับภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการเพิ่มจำนวนไวรัส
ส่วนผลข้างเคียงของยา คือ อาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย แขนขาอ่อนแรง หากแพ้ให้หยุดกินยาทันที หรือหากใช้ไปประมาณ 3 วันอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์
สำหรับ ยาฟ้าทะลายโจร ไม่สามารถป้องกันไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้ แต่ช่วยบรรเทาอาการที่ไม่รุนแรง ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการเกิดโรครุนแรง เช่น คัดจมูก มีน้ำมูก ลดโอกาสที่โรคจะลุกลามลงปอด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฉีดวัคซีน และปฎิบัติตัวตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด
เรื่องที่น่าสนใจ
ยาแอนติบอดี “AZD7442” จากแอสตร้าฯ ลดอาการรุนแรง-เสียชีวิตได้ 50%
