ตามหลักพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ พิธีฌาปนกิจศพ ถือเป็นพิธีกรรมที่สำคัญ เนื่องจากความเชื่อที่ว่าจะช่วยส่งผู้ตายไปสู่อีกภพภูมิหนึ่ง หากมองอย่างผู้บรรลุธรรม เข้าใจความจริงของชีวิต “เมรุ” คือที่สุดท้ายซึ่งทุกคนต้องเดินทางมาถึง
แต่ในอีกมุมหนึ่ง “เมรุ” ก็สามารถช่วยกู้โลกได้ หากเมรุนั้นมีระบบการเผาที่ดีมีประสิทธิภาพ
โดยปัจจุบันแทบจะทุกวัดทั่วประเทศไทย ล้วนมี เมรุ หรือเตาเผาศพ อย่างน้อย 1 เตา ภายในวัด ข้อมูลล่าสุดในปี 2564 ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประเทศไทยมีวัดทั้งหมด 42,879 วัด
ข้อมูลของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ควันดำที่ลอยออกมาจากปล่องเมรุ เมื่อมีการฌาปนกิจ จะประกอบด้วย ฝุ่นละออง ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เป็นต้น และเกิดกลิ่นเหม็นที่มาจากการสลายตัวของอินทรีย์สารในร่างกายเป็นก๊าซต่างๆ เช่น แอมโมเนีย (NH3) ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) เมอร์แคปแทน (-SH) และฟอร์มาลดีไฮด์
ควันเหล่านี้เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของการเกิดมลพิษทางอากาศ โดยจะพบในเมรุแบบเก่า คือ 1.0 และ 2.0 ซึ่งมีระบบ 1 ห้องเผา เมรุ 1.0 นี้ จะควบคุณอุณหภูมิได้ยากทำให้ใช้เวลานานและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในปริมาณมาก แต่แบบ 2.0 จะมีระบบควบคุมอุณหภูมิที่ดีกว่า และใช้น้ำมันหรือก๊าซเป็นเชื้อเพลิง
ซึ่งควันสีดำ ที่ลอยออกมานั้น คือมลพิษที่ถูกปล่อยจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบรูณ์ของสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในโลงศพไม่ว่าจะเป็นร่างกาย เสื้อผ้า พวงหรีด หรือเครื่องใช้ต่างๆ ของผู้ตาย
ขณะที่ต่อมามีการพัฒนาเมรุแบบ 3.0 , 4.0 โดยแบบ 3.0 มีระบบ 2 ห้องเผา แต่แบบ 4.0 มีอย่างน้อย 2 ห้องเผา โดยใน 30 นาทีแรกของการเผาไหม้โลงและศพจะถูกเผาทำให้เกิดการระเหยน้ำออกจากร่างกายมีผลให้อุณหภูมิลดลง ทำให้เกิดควัน จากนั้นควันในห้องแรกจะลอยขึ้นสู่ห้องเผาศพที่ 2 ซึ่งจะทำการเผาควัน ฝุ่นละออง และก๊าซต่างๆ
หากเป็นแบบ 4.0 ที่มีมากกว่า 2 ห้องเผา ทำให้การเผาในห้องสุดท้ายนี้จะเป็นการเผาไหม้ที่สมบรูณ์ จึงไม่ทำให้เกิดควันหรือเกิดเป็นควันขาวเล็กน้อย ในช่วงแรกของการเผาศพออกมาจากปล่องเมรุ ซึ่งควันนั้นเป็นมลพิษน้อยกว่าควันดำมาก
ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นในปัจจุบัน ทำให้มีเมรุผาศพแบบใช้ไฟฟ้า 100 % คือใช้ระบบควบคุมด้วยไฟฟ้าแบบดิจิทัลทั้งระบบ ตั้งแต่ประตูเตาเผาศพ การควบคุมอุณหภูมิและบันทึกข้อมูลต่างๆ รวมถึงการให้ความร้อนในเตา ซึ่งจะใช้พลังงานไฟฟ้าปริมาณมากเท่ากับการเปิดเครื่องปรับอากาศ 2 เครื่องในบ้านขนาดกลางเป็นเวลา 1 เดือนเลยทีเดียว ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการเผาแบบอื่นๆ
แต่มีข้อดีคือใช้เวลาในการเผาศพแค่ประมาณ 50 นาที (น้อยกว่าเตาเผาปกติประมาณ 3 เท่า) และไม่หลงเหลือควันหรืออาจมีควันขาวเล็กน้อยในตอนแรกของการเผาและไม่มีกลิ่นรบกวนใดๆ
อย่างไรก็ตามเตาเผาแบบนี้ยังไม่เป็นที่นิยมและมีน้อยมากในประเทศไทย ซึ่งไทยเราจะนิยมเตาเผาศพแบบใช้น้ำมันหรือก๊าซ และใช้ระบบควบคุมและบันทึกข้อมูลแบบดิจิทัลมากกว่า
ดังนั้น หากบางพื้นที่ยังคงใช้เมรุ ในรูปแบบเก่าอยู่ หรือแม้จะเป็นเมรุแบบใหม่แล้วก็ตาม สิ่งที่จะสามารถช่วยลดการสร้างมลพิษในอากาศได้อีกทางหนึ่งก็คือ การงดเว้นใช้พวงหรีดที่มีส่วนประกอบของพลาสติก หรือเลือกใช้พวงหรีดที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้อีก เช่น พวงหรีดพัดลม กระติกน้ำ หม้อหุงข้าว นาฬิกา เป็นต้น
การเลือกใช้พวงหรีดที่เป็นสิ่งของเครื่องใช้ สามารถบริจาคให้วัด หรือจะเก็บไว้ใช้เองได้ ในส่วนสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ตาย หากไม่ต้องการเก็บไว้ก็สามารถบริจาคให้ผู้ยากไร้หรือให้ทางวัดได้เช่นกัน เพื่อเป็นการทำบุญให้กับผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย ในขณะเดียวกันก็เป็นการลดมลพิษทางอากาศที่เหลือไว้ให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่อีกด้วย
เรื่องอื่นที่น่าสนใจ
ตรวจ PM2.5 ด้วย “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์” รู้ผลเร็วขึ้น 15 เท่า คาดการณ์ล่วงหน้าได้ 3 วัน
