ส.ส.ก้าวไกล ‘รังสิมันต์ โรม’ ถอดรหัสร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ชู 5 ข้อ ที่รัฐสภาควรจะเห็นชอบ
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 – นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เขียนข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงประเด็นที่สมาชิกรัฐสภา จะมีการประชุมพิจารณาว่าจะเห็นชอบหรือไม่ กับร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมฉบับประชาชน ที่ยื่นเสนอโดยไอลอว์ โดยระบุว่า มี 5 ข้อสำคัญ ที่่รัฐสภาควรจะรับร่างฯ ว่า
1. เพราะเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเสนอโดยประชาชนถึง 98,041 คน เกือบ 2 เท่าของเกณฑ์ที่กำหนด (50,000 คน)
ว่ากันตามตรง จำนวนที่มากมายขนาดนี้ ใครที่เคยผ่านประสบการณ์ทางการเมืองมาย่อมรู้แก่ใจดีว่านี่ไม่ใช่จำนวนที่จะรวบรวมกันได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะกับภาคประชาชนที่ช่วยกันทำขึ้นมากันเอง สภาย่อมไม่ควรจะดูแคลนว่าเป็นเพียงสัดส่วนไม่เท่าไหร่หากเทียบกับเสียงที่โหวตเก้าอี้ของตนเองมา หากเราจดจำได้ถึงเส้นทางการล่ารายชื่อตลอดมาจะพบว่า ภาคประชาชนชุมนุมมานานนับหลายเดือน ตั้งแต่ต้นปีนี้มาจนถึงปัจจุบัน ระยะเวลาเกือบ 1 ปีเต็ม พวกเขาใช้แรงกายแรงใจอย่างมากในการรวบรวมรายชื่อให้ได้มากมายขนาดนี้
และมันสะท้อนว่าพวกเขาต้องการให้รัฐสภาพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมนี้มากเพียงใด รัฐสภาจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะปฏิเสธการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้
2. เพราะเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่มุ่งยุติกลไกสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร
ทั้งการกำหนดให้นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส. เท่านั้น, แก้ไขให้ ส.ว., ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ กลับไปมีความยึดโยงประชาชนมากขึ้น, ยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศตามแบบ คสช. ที่ใช้ครอบงำการทำงานของรัฐบาล, ยกเลิกการเว้นความรับผิดในประกาศและคำสั่งของ คสช. เพื่อฟื้นฟูความเป็นนิติรัฐให้กลับคืนมาบ้าง
3. เพราะเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด
ด้วยโครงสร้าง ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด ไม่มีเศษเสี้ยวใดที่มาจากการสรรหาแต่งตั้ง จะเน้นย้ำทำให้รัฐธรรมนูญนั้นเข้าใกล้การสะท้อนเสียงความต้องการของประชาชนได้มากที่สุดและเป็นการให้เกียรติ “การเลือก” ของประชาชนได้มากที่สุด
4. เพราะเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่เปิดให้พิจารณาในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ได้
ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากมีการโหมกระแสด้านลบมากมายเหลือเกินจากบุคคลทั้งที่ไม่ได้มาจากประชาชน และที่เป็นผู้แทนของประชาชน ว่าถ้าหากเกิดการเปิดให้แก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 แล้ว จะทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในสังคม ซึ่งผมไม่อาจจะเห็นด้วยได้
ผมเชื่อว่าหลายท่านที่ออกมาโหมกระแสด้านลบเช่นนี้ คงจะลืมกันไปหมดเสียแล้วว่าหมวด 1 และหมวด 2 ล้วนเคยมีการเปลี่ยนแปลงมาแล้วก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น แต่น่าเสียดาย ที่สมาชิกรัฐสภาบางท่านกลับไม่เอะใจเลยว่า แต่ละครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงในทั้งสองหมวดนี้ ก็มาจากรัฐธรรมนูญหลังการรัฐประหารทั้งสิ้น
นั่นหมายความว่า ถ้าประชาชนอยากให้แก้ไขเพิ่มเติมในทั้งสองหมวดนี้นั้น ทางเดียวที่พวกเขาจะทำได้ คือ ต้องจับปืน มีกองทัพ และกระทำการรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วจึงจะได้อำนาจในการเขียนใหม่เช่นนั้นหรือ?
เช่นนั้นแล้วสภาจะมีเอาไว้ทำไม? มีเอาไว้ให้เผด็จการเป็นอีแอบแล้วสูบกินระบอบประชาธิไตยไปเรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่งก็ย้อนกลับมาทำรัฐประหารเช่นนั้นหรืออย่างไร? ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ตำแหน่งผู้แทนราษฎรของพวกท่านจะมีเอาไว้ทำไมกัน มีเอาไว้แค่เป็นตรายางให้รัฐบาลเผด็จการ?
รัฐสภาต้องยืนยันว่าตัวเองมีอำนาจในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประชาชนและตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนทุกคนในประเทศได้ไม่ด้อยไปกว่าคณะรัฐประหาร ดังนั้น การรับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับประชาชนจึงเป็นการกระทำที่สำคัญที่สุดที่จะตอบกับประชาชนได้ว่ารัฐสภายังมีประโยชน์ โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องลำบากจ่ายภาษีให้เราแล้ว ยังต้องลงมายังท้องถนนเพื่อสื่อสารกับพวกเราที่เป็นผู้แทนราษฎรอีก
5. เพราะเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่จำยอมต่อการผูกขาดอำนาจไว้กับคนกลุ่มเดียว
ในร่างอื่นยังมีความพยายาม “ยอม” ให้กับข้อต่อรอง/เงื่อนไขของฝ่ายที่ผูกขาดอำนาจ เช่นให้ ส.ส.ร. มีส่วนที่มาจากการแต่งตั้ง, ไม่ให้พูดถึงหมวด 1 และหมวด 2 แต่ร่างแก้ไขเพิ่มเติมของประชาชนไม่มีการยอมเช่นนั้น ซึ่งการ “ยอม” เช่นนี้ ถือว่าเป็นภาพสะท้อนความถดถอยของระบอบประชาธิปไตยไทยได้อย่างมาก ดังนั้นร่างรัฐธรรมนูญฉบับของประชาชนย่อมเป็นก้าวแรกที่เหมาะสมที่สุด เพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมไทยที่ดีกว่าเดิม
6. ถ้ายังไม่เข้าใจ ขอให้ลองอ่านข้อ 1 ถึง 5 ใหม่อีกรอบครับ
วันอังคารที่ 17 และวันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2563 นี้ จะมีการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้ง โดยจะบรรจุร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับประชาชนเข้ามาด้วย ขอพี่น้องประชาชนทุกท่านโปรดติดตามครับ
ข่าวที่น่าสนใจ
“กรณ์” ฟุ้งมีผู้สนใจร่วม “พรรคกล้า” มากมาย เชื่อนี่คือทางออกประเทศไทย