“อนุสรณ์” ยกบทเรียน “เสรีไทย” การต่อสู้เพื่อประชาธิไตย ไม่ได้จบแค่วันเดียว

“อนุสรณ์” ยกบทเรียน “เสรีไทย” การต่อสู้เพื่อประชาธิไตย ไม่ได้จบแค่วันเดียว


“อนุสรณ์” ยกบทเรียน “เสรีไทย” สู่ การเรียกร้อง “ประชาธิปไตย” โดยคนรุ่นใหม่ ในปัจจุบัน ชี้การต่อสู้ไม่ได้จบแค่วันเดียว ขอมีความหวังและความกล้าหาญ

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 ส.ค.63 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นาย อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวบรรยายในงานครบรอบ 75 ปี “วันสันติภาพไทย” ซึ่งจัดโดย ม.ธรรมศาสตร์ และ สถาบันปรีดี พนมยงค์ โดยมีสาระสำคัญว่า

“ขบวนการเสรีไทย” และ “วันสันติภาพไทย” ทำให้ เรานึกถึงการต่อสู้เพื่อรักษาเอกราชอธิปไตยอย่างไม่ยอมจำนน และ เป็นการปลูกฝังให้ยุวชนรุ่นหลังรักสันติภาพ อีกทั้งเป็นการประกาศให้นานาประเทศ รับรู้เจตนารมณ์ของประชาชนชาวไทย ที่จะยึดมั่นอุดมการณ์แห่งการอยู่ร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้าน และประชาคมโลกอย่างสันติ

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ประเทศไทย ได้ออกประกาศสันติภาพในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ให้การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่ เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 เป็นโมฆะ ซึ่งต่อมาได้กำหนดให้วันที่ 16 สิงหาคมของทุกปี เป็น “วันสันติภาพไทย”

ทั้งนี้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยประสบปัญหาภาวะฝืดเคืองทางเศรษฐกิจ และ อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงอีก หากไม่มี “ขบวนการเสรีไทย” หากไม่มีการประกาศ “วันสันติภาพไทย” ไทยอาจตกอยู่ภายใต้การปกครองของมหาอำนาจฝ่ายสัมพันธมิตร ปัญหาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจจะทรุดหนักกว่าเดิมและไทยต้องรับผิดชอบเสียค่าปฏิกรรมสงคราม รวมทั้งอาจถูกยึดดินแดนบางส่วนของประเทศ

สำหรับบทเรียนที่เราได้รับจากขบวนการเสรีไทย คือ

1. ความเป็นเอกภาพและร่วมแรงร่วมใจของคนในชาติ เราจึงฝ่าวิกฤตการณ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ วิกฤติทางการเมือง วิกฤติเรื่องเอกราชและวิกฤติจากภาวะสงคราม
2.ความกล้าหาญและเสียสละ
3. การยึดถือในเรื่องเอกราช ประชาธิปไตย และ ประโยชน์ของมนุษยชาติ (ไม่ใช่ของประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นการเฉพาะเท่านั้น)
4. ต้องสร้างเงื่อนไขหรือสภาวะเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่นำไปสู่สงคราม และ ยึดในแนวทางสันติ
5.การมียุทธศาสตร์ กุศโลบาย กลยุทธที่ดีและมุ่งผลประโยชน์สาธารณะของผู้นำและกลุ่มชนชั้นนำ
6.ขบวนการความเคลื่อนไหวขนาดใหญ่เกิดขึ้นได้เมื่อ ประชาชนตระหนักถึงปัญหาร่วมกัน และ เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ และ ไม่มีใครเอาชนะพลังของประชาชนผู้มุ่งมั่นได้

ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้สังคมมีความเสี่ยงที่จะถลำลึกสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงได้ และ ความขัดแย้งจะแบ่งแยกประชาชนออกจากกัน ผู้รักชาติ รักประชาธิปไตย รักสันติ จึงต้องสามารถเอาชนะต่อขบวนการต่อต้านประชาธิปไตยและกระหายความรุนแรงให้ได้

รวมทั้งการเอาชนะวาทะกรรม “ชังชาติ” และ “ล้มเจ้า” ให้ได้ ด้วยความอดทน หมั่นชี้แจงด้วยเหตุผล ด้วยข้อเท็จจริง นำไปสู่ปฏิรูปเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้ดีขึ้น อันมีผลทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิต อยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข เสมอภาคเป็นธรรม และช่วยกันทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมี “กษัตริย์” เป็นประมุขมีความมั่นคงยั่งยืนต่อไป เกิดการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองอย่างสันติ เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ เป็นการอภิวัฒน์สู่สันติ ไม่สร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่การซ้ำเติมความยากลำบากทางเศรษฐกิจของประชาชน หรือ แก้ไขปัญหานอกวิถีทางของกฎหมายและประชาธิปไตย

“หลักแห่งนิติธรรม ขันติธรรม เมตตาธรรม มิตรภาพ ภราดรภาพและประชาธิปไตย จะนำมาซึ่งสันติภาพและความสงบสุขร่มเย็นบนพื้นแผ่นดินไทยและโลก” นายอนุสรณ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม อยากฝากถึงประชาชนทั้งหลายว่า อย่าหลงทางในมหาสมุทรแห่งความสิ้นหวัง ความหลอกลวงและความหวาดกลัว จงมีความหวัง เอาความจริงและความกล้าหาญทางจริยธรรมเข้าสู้ การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสันติธรรมไม่ใช่การต่อสู้วันเดียว อาทิตย์เดียว เดือนเดียว หรือ ปีเดียวจบ มันเป็นสงครามยืดเยื้อที่เราต้องต่อสู้กับพวกเผด็จการและพวกกระหายความรุนแรงและการกดขี่ การต่อสู้อาจต้องใช้เวลาชั่วชีวิต อาจต้องสืบทอดให้ลูกหลาน

“อย่าหวาดกลัวในการแสดงจุดยืนและความเห็นที่ถูกต้องเพื่อพิทักษ์สันติธรรมและเสรีภาพ และ เราต้องยอมเข้าสู่ความยากลำบากที่จำเป็น แต่เป็นความยากลำบากที่พิสูจน์การกระทำอันยิ่งใหญ่” นายอนุสรณ์ กล่าวในตอนท้าย

 

ข่าวที่น่าสนใจ

“ปิยบุตร” ชี้ประเด็นพระมหากษัตริย์ต้องอภิปรายสาธารณะได้ ไม่ใช่เรื่องต้องห้าม