ญี่ปุ่นขยายข้อตกลง AJCEP เปิดช่องให้ไทยตั้งธุรกิจ “บริการ” แบบ 100%

ญี่ปุ่นขยายข้อตกลง AJCEP เปิดช่องให้ไทยตั้งธุรกิจ “บริการ” แบบ 100%


อยากเข้าไปลงทุนในญี่ปุ่นหรือเปล่า เข้าไปลงทุนแบบเป็นเจ้าของกิจการเอง 100% แถมไม่ใช่งานใหญ่ แต่เป็นงานบริการต่างๆ หากคำตอบคือต้องการ นาทีนี้โอกาสเป็นของคุณแล้ว

ท่ามกลางการเริ่มฟื้นตัวของหลายประเทศในเอเชียจากพิษโควิด-19 ญี่ปุ่นและไทยเอง ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบ แต่ทั้งสองชาติก็กำลังเดินหน้าฟื้นคืนเศรษฐกิจระหว่างกันเมื่อทุกอย่างเริ่มดีขึ้น

สัญญาณแห่งการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างสองประเทศ ระหว่างญี่ปุ่นและไทย เริ่มเด่นชัดมากยิ่งขึ้น แม้ว่าจะยังไม่เปิดประเทศเพื่อให้ทั้งสองชาติเดินทางไปมาหาสู่ท่องเที่ยวกันเหมือนเดิม แต่ในแง่ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นพร้อมจะเปิดรับนักลงทุนจากไทยเข้าไปทำธุรกิจประเภท “บริการต่างๆ” ด้วยเงื่อนไขใหม่ภายใต้การขยายข้อตกลงที่มีชื่อว่า AJCEP ที่จะเปิดโอกาสให้คนไทยเข้าไปทำธุรกิจแบบเป็นเจ้าของชนิดที่ว่า 100%

จากเดิมที่ข้อตกลง AJCEP หรือชื่อทางการในภาษาไทยว่า “ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอาเซียน – ญี่ปุ่น” ที่เริ่มใช้กันมาตั้งแต่ปี 2552 ที่เสมือนว่าคู่ค้าระหว่างญี่ปุ่นกับอาเซียนซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องผนวกไทยเข้าไปด้วย แต่ล่าสุดในการให้คำมั่นพร้อมกับลงนามในสัตยาบันพิธีสารฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา ญี่ปุ่นขยายข้อตกลงนี้จากเดิมที่ครอบคลุมการเปิดตลาดสินค้าเป็นหลักที่อาเซียนจะได้ส่งเข้าไปในญี่ปุ่น แต่ข้อตกลงใหม่จะเปิดให้อาเซียนเข้าไปทำธุรกิจเรื่องการค้าบริการ การเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาเพื่อทำงาน และการลงทุนด้วย

ความหมายคือ ตามข้อตกลงที่ขยายโอกาสมากขึ้นของ AJCEP ที่ญี่ปุ่นมอบให้กับไทย จะทำให้ผู้ประกอบการไทย เข้าไปถือหุ้นกิจการในสาขาบริการในประเทศญี่ปุ่นได้แบบ 100% ทั้ง งานบริการโฆษณา ร้านอาหาร การจัดการประชุม จัดทัวร์นำเทียว สปา โรงแรม บริการด้านการแพทย์ต่างๆ รวมไปถึงวิชาชีพพยาบาล ทั้งหมดล้วนแต่เป็นโอกาสทองที่คนไทยจะได้ไปทำธุรกิจในญี่ปุ่น หลังจากการเปิดข้อตกลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 สิงหาคม 2563 นี้

โอกาสที่ว่าถือว่าเป็นครั้งใหญ่ที่ญี่ปุ่นไม่เคยให้กับไทยขนาดนี้มาก่อน และมันมากกว่าข้อตกลงใน WTO หรือองค์การการค้าโลก หรือแม้แต่สายตรงความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นอย่างข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย – ญี่ปุ่น (JTEPA) ก็ไม่ได้มากมายเท่านี้

คนที่พาประเทศไทยไปคุยจนสำเร็จ ส่วนหนึ่งคนที่น่าจะได้เครดิตจากผลงานชิ้นนี้คือนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.พาณิชย์ ที่ขยาความว่า ไม่เพียงแค่ธุรกิจการให้บริการเท่านั้นที่ญี่ปุ่นให้ชาติในอาเซียนเข้าไป ซึ่งก็รวมถึงไทยด้วยเช่นกัน หากแต่อาชีพอย่างเช่น บริการซักผ้า/รีดผ้า ทำผม/เสริมสวย หรือแม้แต่การ “เคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดา” หรือการพาคนจากอาเซียนเข้าไปทำงานในญี่ปุ่นก็ทำได้ง่ายกว่าเดิมด้วย เพราะข้อตกลง AJCEP ที่ขยายโอกาสล่าสุด ญี่ปุ่นอนุญาตเป็นการชั่วคราวกับผู้ให้บริการ นักลงทุน และ คู่สมรส รวมถึงบุตร จากอาเซียน เข้าไปให้บริการในกลุ่มสาขาและประเภทที่ระบุไว้ได้ยาวนานสูงสุดถึง 5 ปี

แต่อีกด้าน ไทยเองก็เปิดรับญี่ปุ่นพอสมควรเช่นกัน ซึ่งจะเปิดตลาดให้กับแดนอาทิตย์อุทัยเป็นการเฉพาะ อาทิด้าน ด้านพยากรณ์อากาศและอุตุนิยมวิทยา บริการด้านการวิจัยและพัฒนา บริการล่ามและแปลเอกสาร บริการให้คำปรึกษาทางวิทยาศาสตร์โดยนักวิทยาศาสตร์และนักสถิติ โดยผู้ประกอบการญี่ปุ่นสามารถถือหุ้นได้ 70% ซึ่งคาดว่าจะช่วยยกมาตรฐานภาคบริการของไทยได้

จึงสะท้อนได้ว่า ญี่ปุ่นต้องการธุรกิจบริการจากไทยแลนด์ที่เก่งกาจเรื่องนี้อยู่แล้ว และไทยเองก็ต้องการองค์ความรู้ด้านการวิจัย วิทยาศาสตร์ต่างๆ ของญี่ปุ่น แต่แลกกันด้วยแนวทางการดำเนินงานในเชิงธุรกิจระหว่างสองชาติ และมันน่าจะส่งผลให้มีแต่ “ได้กับได้” ของทั้งคู่

รายละเอียดของ พิธีสารฉบับที่ 1 จะเริ่มบังคับใช้ระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศอาเซียนที่ให้สัตยาบันแล้ว ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ เมียนมา และสปป. ลาว ส่วนประเทศอาเซียนที่เหลือ จะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อประเทศเหล่านี้ให้สัตยาบัน

สำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุนไทย ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่ญี่ปุ่นเปิดตลาด ควรใช้ประโยชน์จากความตกลง AJCEP เพื่อขยายตลาดการค้าบริการไปญี่ปุ่นมากขึ้น ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ FTA Center ชั้น 3 กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โทร 0 2507 7555 หรือทางเว็บไซต์ http://ftacenter.dtn.go.th

In Facts
– ปี 2562 ญี่ปุ่นเป็นประเทศคู่ค้าอันดับที่ 4 ของอาเซียน มูลค่าการค้าร่วมกันที่ 224,669 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (6.7 ล้านล้านบาท)
– แบ่งเป็นอาเซียนส่งออกไปญี่ปุ่น 109,134 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (3.2 ล้านล้านบาท) นำเข้าจากญี่ปุ่นสู่อาเซียน 115,535 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (3.4 ล้านล้านบาท)
– ปี 2562 ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าอยู่อันดับ 2 ในคู่ค้าของไทย ซึ่งมีมูลค่ารวมกัน (เฉพาะของไทย) อยู่ที่ 57,780 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (1.7 ล้านล้านบาท)
– แบ่งเป็นไทยส่งออกไปญี่ปุ่น 4,558 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (1.3 แสนล้านบาท) และนำเข้าจากญี่ปุ่นมูลค่า 33,222 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (9.9 แสนล้านบาท)

เรื่องที่น่าสนใจ

ผ่าผลประเมิน SMEs รายภูมิภาค “เหนือ-อีสาน-กลาง” ฟื้นตัวปีนี้ ส่วน ”ใต้” รอปีหน้า

ก.เกษตรฯ ชู 3 โครงการเพิ่มรายได้ยุคโควิด-19 ดันโมเดล “เกษตรพาณิชย์”