ยูนิลีเวอร์ เน้นทำธุรกิจที่ยั่งยืนทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และปรับปรุงความเป็นอยู่ลูกค้าที่ดีขึ้น

ยูนิลีเวอร์ เน้นทำธุรกิจที่ยั่งยืนทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และปรับปรุงความเป็นอยู่ลูกค้าที่ดีขึ้น


ยูนิลีเวอร์ (Unilever) กำหนดเป้าหมายการทำธุรกิจต้องการเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจระดับโลก ให้เรียบง่ายแต่ทำให้ลูกค้ามีวิถีชีวิตที่ยั่งยืนทั้งด้านสุขภาพ ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ยูนิลีเวอร์ ถือเป็นยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าคอนซูเมอร์ในระดับโลก มีประชากร 2.5 พันล้านคนใช้ผลิตภัณฑ์ยูนิลีเวอร์ ในทุกวัน ยูนิลีเวอร์ (Unilever) เป็นบริษัทที่กำหนดวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนมาตั้งแต่ต้น ที่ต้องการร่วมกันเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจระดับโลก ให้เรียบง่ายแต่ชัดเจนคือ การทำให้ลูกค้ามีวิถีชีวิตที่ยั่งยืน

ยูนิลีเวอร์ เชื่อว่าการเติบโตของธุรกิจไม่ควรทำร้ายผู้คนและโลกของเรา ด้วยเหตุนี้เอง จึงเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

แผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของ Unilever (USLP) เป็นความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าเพื่อบรรลุผลจากการเปลี่ยนแปลงภายในบริษัท เปิดตัวในปี 2010 โดยเป็นการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านแบรนด์ที่กำหนดวัตถุประสงค์ ลดต้นทุนทางธุรกิจ ลดความเสี่ยง และช่วยให้เราสร้างความไว้วางใจ

แผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของ Unilever
แผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของ Unilever กำหนดขึ้นเพื่อแยกการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทออกจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ในขณะที่เพิ่มผลกระทบเชิงบวกทางสังคมของเรา แผนของ Unilever มีเป้าหมายสำคัญสามประการที่ต้องบรรลุ ซึ่งอยู่ภายใต้ ความมุ่งมั่นและเป้าหมายเก้าประการซึ่งครอบคลุมประสิทธิภาพด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจในห่วงโซ่คุณค่า Unilever จะทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างต่อเนื่องเพื่อมุ่งเน้นพื้นที่ที่สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDG)

เป้าหมายสำคัญสามประการในการดำเนินโครงการ
1. การส่งเสริมให้คนมากกว่า 1 พันล้านคนมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยได้ช่วยเหลือผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนภายในปี 2020 โดยการส่งเสริมให้มีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เช่น จะช่วยเหลือผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคน โดยปรับปรุงสุขภาพและสุขอนามัยภายในปี 2020 วิธีนี้จะช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคที่คุกคามชีวิต เช่นโรคท้องร่วง

2. การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเหลือครึ่งหนึ่ง โดยกำหนดเป้าหมายไว้ว่าภายในปี 2030 จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากการผลิตและการใช้ผลิตภัณฑ์ของเราลงครึ่งหนึ่งพร้อมไปกับสร้างการเติบโตทางธุรกิจโดยตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2020 ปริมาณขยะทั้งหมดที่ส่งไปกำจัดจะไม่เกินระดับในปี 2008 แม้จะมีปริมาณมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

3. การปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนหลายล้านคน ไปพร้อมกับการเติบโตทางธุรกิจของเรา เช่น เกษตรกรรายย่อยประมาณ 746,000 รายและผู้ค้าปลีกรายย่อย 1.73 ล้านคนสามารถเข้าร่วมโครงการริเริ่มที่มุ่งปรับปรุงแนวปฏิบัติทางการเกษตรหรือเพิ่มรายได้

ความคืบหน้าที่ทำได้แล้ว
• ได้ช่วยเหลือผู้คน 1,240 ล้านคนให้ปรับปรุงสุขภาพและสุขอนามัย
• กว่าครึ่งของวัตถุดิบการเกษตรในเครือข่าย เช่น น้ำมันปาล์ม กระดาษ และใบชาเป็นแหล่งวัตถุดิบที่ยั่งยืนไปแล้วในขณะนี้
• หลายล้านคน ทางยูนิลิเวอร์ยังได้ปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ให้แก่ผู้คนหลายล้านคน จากความคิดสร้างสรรค์ เช่น เกษตรกรรายย่อยและโครงการผู้ค้าปลีกขนาดเล็ก

Unilever รับทราบมานานแล้วว่าการเติบโตกับความยั่งยืนนั้นไม่ได้ขัดแย้งกัน ในแต่ละปี เรารวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ที่ USLP เอื้อต่อการทำธุรกิจของเรา รวมถึงต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

การเติบโตเพิ่มขึ้น
Shopping trolly 26 แบรนด์เพื่อการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน จากการวิจัยของ Unilever แสดงว่ากว่าครึ่งหนึ่งของผู้บริโภคทั้งหมดได้ซื้อสินค้า หรือต้องการซื้อสินค้าที่มีความยั่งยืน นี่คือสาเหตุที่เราพัฒนาแบรนด์ ‘ที่ดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน’ ซึ่งมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนต่อข้อกังวลด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม และเป็นส่วนหนึ่งของแผน USLP

ขณะนี้ Unilever มี 26 แบรนด์ที่ดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนประกอบด้วย Dove, Lipton, Hellmann’s และ Seventh Generation โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของ Unilever ที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง

ลดต้นทุน
การดำเนินการอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานผ่านประสิทธิภาพเชิงระบบนิเวศตั้งแต่ปี 2018 จากการลดปริมาณของเสียและลดการใช้พลังงาน วัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติ Unileverได้สร้างประสิทธิภาพและลดต้นทุน ขณะเดียวกันก็เผชิญความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้อยลง การเพิ่มประสิทธิภาพเชิงระบบนิเวศมีส่วนทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้มากกว่า 600 ล้านยูโร หรือ 21,450 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2008

มีความเสี่ยงน้อยลง
การดำเนินงานอย่างยั่งยืนช่วยให้ Unilever มีความมั่นใจเกี่ยวกับซัพพลายเชนในอนาคต โดยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดหาวัตถุดิบ 56% ของวัตถุดิบทางการเกษตรของ Unilever มีแหล่งที่มาที่ยั่งยืนภายในสิ้นปี 2018

สร้างความเชื่อมั่นมากขึ้น
การกำหนดให้ความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ช่วยให้เราอยู่ข้างเดียวกับผู้บริโภค และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกับเราเราเป็นบริษัทผู้ว่าจ้างผู้จบการศึกษา FMCG จำนวนเป็นอันดับหนึ่งในประมาณ 50 ประเทศ

 

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ