ธปท.เสนอ 4 มาตรการ เสริมสินเชื่อรายย่อยพิเศษผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สร้างหลังพิงตลาดตราสารหนี้เอกชน ขยายเวลาคุ้มครองเงินฝาก ลดการนำส่งเงิน FIDF เตรียมเข้า ครม. 7 เม.ย. ลดผลกระทบโควิด – 19
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.เตรียมเสนอมาตรการต่าง ๆ ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในหลักการวันที่ 7 เมษายนนี้ เพื่อลดกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย 4 มาตรการ ประกอบด้วย
1.การออก พ.ร.ก.เพื่อจัดทำโครงการสินเชื่อรายย่อยพิเศษโดยตรงให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้วยเงินของ ธปท.เอง ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าโครงการสินเชื่อของธนาคารออมสินที่ช่วยเหลือเอสเอ็มอีขนาดเล็ก ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ธปท.ได้ทำงานร่วมกับธนาคารพาณิชย์ในการนำเสนอมาตรการชุดต่าง ๆ โดยเน้นไปที่ลูกค้ารายย่อยให้พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยระยะหนึ่ง ส่วนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีก็มีมาตรการอีกชุด แต่การแพร่ระบาดยังมีความไม่แน่นอนและมีแนวโน้มจะขยายมากขึ้น จึงจำเป็นต้องขยายมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้วยการพักเงินต้นและดอกเบี้ยให้เอสเอ็มอีที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีสินเชื่อที่เป็นสภาพคล่องใหม่ เพื่อช่วยเหลือรายที่ขาดเงินทุนหมุนเวียนและดูแลให้ธุรกิจก้าวข้ามสถานการณ์วิกฤตไปได้
2.การออก พ.ร.ก.เพื่อจัดทำมาตรการสร้างหลังพิงให้กับตลาดตราสารหนี้เอกชน เพื่อให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยศึกษาจากมาตรการของธนาคารกลางหลายประเทศ พ.ร.ก.ดังกล่าวจะให้อำนาจ ธปท.สามารถซื้อตราสารหนี้เอกชนที่ครบกำหนดเพื่อไปชำระตราสารเดิม เฉพาะตราสารของบริษัทที่มีคุณภาพดี โดยจะต้องระดมทุนจากตลาดเอกชนไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่เติมเต็มให้ตลาดตราสารหนี้เอกชนทำหน้าที่ได้ตามปกติ ซึ่งจะต้องมีเงื่อนไขคัดกรองว่าเป็นบริษัทที่ดี
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ ธปท.ได้ร่วมกันพิจารณากลไกสำคัญที่จะช่วยดูแลตลาดตราสารหนี้เอกชนที่ปัจจุบันมีขนาดใหญ่ 3.5 ล้านล้านบาท เทียบกับสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาด 14 ล้านล้านบาท
ขณะที่ผู้ถือตราสารหนี้เอกชนครอบคลุมประชาชนหลากหลายประเภท และองค์กรหลากหลาย เช่น กองทุนรวม สหกรณ์ออมทรัพย์ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนประกันสังคม กองทุนตราสารหนี้ อีกทั้งภาคธุรกิจจำนวนมากอาศัยการกู้เงินผ่านตลาดตราสาร ซึ่งขณะนี้ได้รับผลกระทบที่ลุกลามมาจากตลาดตราสารหนี้โลกและความไม่แน่นอนเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดตราสารเอกชนทำหน้าที่ไม่ปกติเหมือนทั่ว ๆ ไป จึงต้องมีมาตรการช่วยเหลือ
3.ธปท.จะมีมาตรการขยายระยะเวลาคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งตามกำหนดเดิมเดือนสิงหาคม 2563 วงเงินคุ้มครองเงินฝากจะลดลงจาก 5 ล้านบาท เหลือ 1 ล้านบาท ซึ่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากเสนอให้ยืดระยะเวลาออกไปอีก 1 ปี เพื่อยังคงให้คุ้มครองเงินฝาก 5 ล้านบาทต่อไปถึงเดือนสิงหาคม 2564 เพื่อช่วยลดความกังวลของประชาชน
4.ธปท.จะให้สถาบันการเงินลดการนำส่งเงินสมทบกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จากเดิมอัตรา 0.46% จะลงเหลือ 0.23% ในระยะเวลา 2 ปี เพื่อลดต้นทุนให้กับสถาบันการเงิน ซึ่งหวังว่าจะนำไปสู่การลดดอกเบี้ยให้กับประชาชน

ข่าวที่น่าสนใจ
ราชกิจจาฯประกาศ “บัตรทอง” รักษาโควิด-19 ได้
9 ข้อคิดของคนเคยเป็นนายกฯ “มาร์ค-อภิสิทธิ์” กับโควิด-19
“กทม.-นนท์-ภูเก็ต” แชมป์ติดเชื้อสูงสุด หวั่นสงกรานต์แห่กลับบ้าน นำเชื้อติดผู้ใหญ่
