“ศิริราช”ชี้ หากทำตัวเหมือนเดิม 15 เม.ย. ไทยจะติดโควิด-19 3.5 แสนราย

“ศิริราช”ชี้ หากทำตัวเหมือนเดิม 15 เม.ย. ไทยจะติดโควิด-19 3.5 แสนราย


คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราช คาดการณ์ ไทยอาจมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 กว่า 3.5 แสนรายในวันที่ 15 เม.ย. ชี้ หากทำตัวเหมือนเดิมไปถึงจุดนั้นแน่นอน ย้ำ ทุกคนต้องร่วมมือกัน

วันที่ 23 มีนาคม 2563 ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา นายกแพทยสภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงถึงสถานการณ์โรคโควิด-19 จากการวิเคราะห์จากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ ระบุว่า จุดที่เริ่มเปลี่ยนแปลงจากจำนวนผู้ติดเชื้อ 40 กว่าราย จนมากขึ้นในปัจจุบัน มาจากกลุ่มสนามมวย และผับทองหล่อ ซึ่งจากสถานการณ์การติดเชื้อโรคโควิด-19 ครั้งนี้โลกเราแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ “คุมไม่อยู่” กับ “คุมอยู่”

โดยกลุ่มประเทศที่ควบคุมไม่ได้ อยู่แถบยุโรป ส่วนกลุ่มประเทศที่ควบคุมได้อยู่เอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และฮ่องกง พบว่าอัตราการเพิ่มของผู้ติดเชื้อโควิด-19 จาก 100 คน เพิ่มเป็น 200 คน ใช้เวลา 5 วัน แต่กลุ่มประเทศที่ควบคุมเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ได้พบว่าอัตราผู้ติดเชื้อจาก 100 คน เพิ่มเป็น 200 คน ภายในเวลา 3 วัน

 

 

สำหรับประเด็นสำคัญที่ ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ เน้นย้ำ คือ หากประเทศไทยไม่ควบคุม ปล่อยไปตามธรรมชาติ ปล่อยให้ประชาชนใช้ชีวิตอยากไปไหนก็ไป จะทำให้แนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มร้อยละ 33 ในทุกวัน ก็จะพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“จากวันที่ 15 มี.ค.63 ที่เราพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เกิน 100 คน จากนั้นอีก 1 เดือน วันที่ 15 เม.ย.63 เราจะมีคนไทยติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 351,947 ราย จากจำนวนนี้คาดต้องนอนโรงพยาบาล 52,792 ราย เข้ารักษาตัวที่ห้องไอซียู 17,597 ราย และเสียชีวิต 7,039 ราย

 

“นายกฯ” ลั่น! กล้าใช้มาตรการเข้ม สู้โควิด-19 แต่ยังไม่ถึงเวลา

 

ประชาชนช่วยกัน แต่ละจังหวัดต้องหาคนติดเชื้อให้เจอ เมื่อเจอแล้วต้องแยกออกจากสังคม เฝ้าระวัง จนกว่าจะพ้นระยะฟักตัว ต้องควบคุมอัตราการแพร่ระบาดให้กลับมาให้อยู่ที่ี่ร้อยละ 20 ซึ่งผู้ติดเชื้อจะอยู่ที่ 24,269 ราย นอนโรงพยาบาล 3,640 ราย อยู่ในห้องไอซียู 1,213 ราย และเสียชีวิต 485 ราย นี่คือเป้าหมายที่ไทยต้องการดึงตัวเลขลงมาอยู่ที่ร้อยละ 20 ของการแพร่ระบาด” ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

 

 

สำหรับมาตรการที่ภาครัฐควรบังคับใช้ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระบุว่าควรมีดังนี้

ระยะที่ 1 ป้องกันผู้ติดเชื้อเข้ามาในประเทศ

มาตรการที่ควรใช้คือการปิดกั้นไม่ให้คนจากต่างประเทศเข้ามา (containment) เช่น การระงับการเดินทางของคนจากพื้นที่เสี่ยงเข้ามาในประเทศ โดยให้ทุกคนที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยต้องมีหนังสือรับรองว่าปราศจากเชื้อไวรัส และต้องถูกจำกัดพื้นที่อีก 14 วัน

ระยะที่ 2 ป้องกันผู้ติดเชื้อแพร่เชื้อให้คนในประเทศ

มาตรการที่ควรใช้คือการตรวจจับคนติดเชื้อให้ได้และนำไปกักกัน เพื่อแยกออกจากคนในสังคม (isolation) และการนำคนที่มีประวัติไปสัมผัสกับคนที่ติดเชื้อไปกักกันเพื่อเฝ้าระวังจนกว่าจะพ้นระยะฟักตัวของโรค (quarantine) ในระยะนี้ ควรมีการปิดพื้นที่เสี่ยง (mitigation) เช่น สถานศึกษา สถานบันเทิง ต้องมีการดำเนินการอย่างเด็ดขาดและครอบคลุมทุกพื้นที่

ระยะที่ 3 ป้องกันคนในประเทศที่ติดเชื้อแพร่เชื้อให้คนในประเทศด้วยกัน

มาตรการที่ต้องรีบทำคือ การปิดประเทศ ปิดเมือง เพื่อไม่ให้คนติดเชื้อใหม่จากภายนอกเข้ามา และเพื่อไม่ให้คนที่ติดเชื้อในประเทศแพร่เชื้อออกไป ร่วมกับการให้คนในประเทศพยายามอยู่บ้าน ไม่เดินทางพร่ำเพรื่อ สังเกตอาการตนเองและครอบครัว เพราะเชื้อมีอยู่ทั่วไป มาตรการนี้จะช่วยตัดวงจรการระบาดได้ โดยควรมีระยะเวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ (ระยะฟักตัว+ระยะเวลาที่ไวรัสสามารถแพร่เชื้อได้)

 

 

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ