โดย…กองบรรณาธิการ ThaiQuote
ยังคงเป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่ไม่น้อย กับความร้อนแรงของการเมืองในเมืองไทยที่ดูเหมือนว่าจะมีดีกรีความร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากการที่ อดีตแกนนำของพรรคอนาคตใหม่ ออกมาขยับการเคลื่อนไหวภายนอกสภา เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินยุบพรรคจากปมเงินกู้ 191.2 ล้านบาทไปแล้ว ภาพของเหล่าคนรุ่นใหม่ทั้งนักเรียน นักศึกษา ที่เป็นฐานพลังหลักของพรรคอนาคตใหม่ ก็เริ่มรวมกลุ่มกันเพื่อแสดงออกให้เห็นถึงพลังทางการเมืองของพวกเขา
และการแสดงออกซึ่งพลังทางการเมืองของคนรุ่นใหม่นี้เอง ที่ทำให้เกิดคำถามในสังคมว่า “การเมืองบนท้องถนน” สำหรับเมืองไทย มันจะกลับมาอีกครั้งหรือไม่?
การรวมพลัง หรือที่ระยะนี้คนที่ติดตามการเมืองจะได้ยินคำนี้อยู่บ่อยครั้ง นั่นคือ “แฟลชม็อบ” หรือการรวมตัวกันสักครู่และสลายไป กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ก็รวมกันทำแฟลชม็อบกันในหลายพื้นที่ หลายสถาบันศึกษา
หลายคนมองว่า เด็กถึงอย่างไรก็เหมือนผ้าขาว การที่มารวมตัวกันทำแฟลชม็อบและแสดงออกทางการเมืองนั้น มันมี “ผู้ใหญ่” อยู่เบื้องหลัง คอยยุยงให้พวกเขาทำ
จะจริงเท็จหรือไม่ยังเป็นคำตอบที่ยังไม่มีใครกล้าออกมาพูดในเรื่องนี้ แต่จากคำถามที่ทิ้งไว้ในข้างต้น แฟลชม็อบจากกลุ่มนักศึกษา จะถูกพัฒนาไปมากกว่านี้ได้หรือไม่ หรือกลายเป็นการเคลื่อนขบวนลงสู่ท้องถนนอีกครั้งของการเมืองไทยหรือเปล่า
เพื่อหาคำตอบ เราหยิบโยงไปเรื่องทฤษฎี “ผ้าขาว” สำหรับเด็กเยาวชนของชาติ หากมีคนพูดถึงเรื่องนี้ในสังคมไทยกับประเด็นนี้จะมีอยู่ 2 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรก คือคนที่พูดแบบนักการเมือง ซึ่งมันก็มีความหมายในทำนองที่อยากจะ “ด่า” เด็ก อยากจะวิจารณ์เด็ก แต่กลัวว่าเด็กจะไปโกรธ เลยกระทบชิ่งไปหาผู้ใหญ่แทน มันจึงกลายเป็นเรื่องที่ว่าเด็กไปถูกยุยง และเด็กเหล่านี้คิดเองคงไม่ได้
ส่วนผู้ใหญ่คือใคร ก็คงไม่ยากเกินกว่าที่ผู้อ่านจะจินตนาการถึงได้
- “บิ๊กตู่” เตือนนักศึกษา “แฟลชม็อบ” อย่านำประเด็นหมิ่นสถาบันมาเคลื่อนไหว
- สมกับเป็นวัยรุ่น “ชูวิทย์”โพสต์ “เด็กอนาคตใหม่” เดินทางขึ้นเรือรัฐบาล “เร็วเหลือเกิน”
กลุ่มที่สองที่มองเด็กเป็น “ผ้าขาว” เป็นพวกไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ได้ติดตามข่าวสารการเมือง แต่มองว่าเด็กก็ถูกปลุกปั่นยุยง เพียงแต่อยากแสดงความเห็นออกมาเท่านั้น แต่การพูดแบบตีวัวกระทบคราด ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ การพูดวิจารณ์แบบนี้จะเหมือนกับการเพิ่ม “เชื้อเพลิง” ให้กับกลุ่มเด็กนักเรียนนักศึกษาที่ได้ฟัง ซึ่งกลุ่มนี้ค่อนข้างจะอันตรายอย่างมาก
เด็กๆ ที่ไปจัดแฟลชม็อบ อย่าลืมว่า พวกเขาคือฐานคะแนนของอนาคตใหม่ พวกเขามองว่าตัวเองคือหุ้นส่วนของพรรคเหมือนกัน ที่พวกเขาเลือกเข้าไปทำงานจนได้รับความนิยมมากถึง 6 ล้านเสียงในการเลือกตั้ง เรื่องที่ปลุกปั่นกัน มันอาจพูดได้ทางการเมือง แต่อีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ “อนาคตใหม่” ก็คือของรักของกลุ่มฐานเสียงที่เป็นคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ที่ออกมาเคลื่อนไหว
อย่างไรก็ตาม หากมองว่าการพัฒนาแฟลชม็อบให้นำไปสู่การเคลื่อนไหวที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เรื่องนี้มีผู้นำไปเทียบเคียงอยู่บ้าง โดยเฉพาะกับการมองบรรยากาศการเคลื่อนไหว รูปการว่าจะคล้ายคลึงกับเหตุที่ผ่านมาหลายสิบปีก่อน
เพราะมันเกิดจากกลุ่มก้อนเล็กๆ ที่เริ่มขยายตัวไปสู่มหาวิทยาลัยอื่นๆ โรงเรียนอื่นๆ สิ่งต่างๆ ที่ถูกทับถมเอาไว้ และภาพของอดีตก็อาจจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้นในปัจจุบัน
แต่ที่จะแตกต่างคือเหตุผลในการเคลื่อนไหว ที่หลายคนมองว่ากับสถานการณ์ปัจจุบัน มันเพียงพอแล้วหรือยังกับการนำไปสู่ “จุดนั้น” ที่หลายคนกำลังเป็นกังวล เพราะในยุคเดือนตุลาห้วงเวลาที่ผ่านมาเกิดเหตุสะสมหลายสิ่งประการจากรัฐบาลชุดนั้นที่นำไปสู่การแสดงออกเป็นพลังขึ้นมา แต่สำหรับเหตุผลในขณะนี้อาจจะยังไต่ไปไม่ถึง
อีกทั้งมันมีปัจจัยอื่นๆ ที่ประกอบกันซึ่งต้องนำมาพิจารณาด้วย เพราะเดือนตุลาประชาธิปไตย ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงลำพังจากการตื่นตัวเพียงประการเดียว มันยังมีปัจจัยอื่นๆ ทางด้านภาวะวิสัยที่ประกอบเป็นรูปร่างขึ้นมา เช่น ภาวะเศรษฐกิจ เรื่องน้ำมัน-สิ่งของราคาที่พุ่งสูงขึ้น ข้าวยากหมากแพง คนไทยใช้ชีวิตลำบาก
ดังนั้น จะเห็นภาพได้ว่ากำลังของนักศึกษาเพียงกลุ่มเดียวในช่วงเวลานั้น ไม่ได้เป็นพลังที่จะพาการเมืองไทยลงบนท้องถนนได้ แต่มันมีความเจ็บช้ำจากในภาคส่วนของประชาชนเข้าร่วมผสมเข้าไป มันจึงก่อเกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ขึ้นมา
ย้อนมาในปัจจุบัน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจะมีใครบ้างที่เอากับเรื่องนี้ คงยากที่จะตอบได้ในชั่วยามนี้ แต่ที่แน่นอนคือการเมืองในท้องถนนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง หากแต่คำถามต่อมาคือมันจะยกระดับไปได้ถึงขั้นไหน ล้มรัฐบาลได้หรือไม่ หรือสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้หรือไม่ คงไปมองแค่พลังนักศึกษาเพียงอย่างเดียวไม่ได้
มันจำต้องมีพลังอื่นๆ ของประชานที่เข้ามาร่วม และมีอารมณ์ร่วมกันกับปัญหาต่างๆ ที่จะเป็นวิสัยให้ก่อเกิดขึ้นมา
ข่าวที่น่าสนใจ