“อุตตม” ยันเศรษฐกิจไทยชั่วโมงนี้ไม่มีความเสี่ยง ชี้กำลังซื้อขยับสูงขึ้นแม้เผชิญปัญหาโลก

“อุตตม” ยันเศรษฐกิจไทยชั่วโมงนี้ไม่มีความเสี่ยง ชี้กำลังซื้อขยับสูงขึ้นแม้เผชิญปัญหาโลก


รมว.คลัง ชี้รายงาน WEF มีความเข้าใจผิดหลังชี้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงด้านการลงทุน เผยต่างชาติจ้องมาเทเงิน ยอมรับแม้กระทบปัญหาเศรษฐกิจโลกแต่รัฐพยายามกระตุ้นใช้จ่ายในประเทศจนได้ผลดี

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2562 – นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ประเด็นที่ World Economic Forum (WEF) ออกมาจัดทำรายงานความเสี่ยงทั่วโลก และประเทศไทยมีการรายงานว่ามีความกังวล 5 ประการ คือ 1.เศรษฐกิจฟองสบู่ (Asset bubble) 2.ความล้มเหลวในการปกครองประเทศ (Failure of national governance) 3.การโจมตีทางไซเบอร์ ( Cyberattacks ) 4.ภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น (Manmade environmental catastrophes ) และ 5.ความไม่มั่นคงทางสังคม (Profound social instability) นั้น พบว่ารายงานดังกล่าวมีความเข้าใจผิดในบางกรณี เนื่องจากเป็นรายงานที่สอบถามความเห็นจากนักลงทุนทั่วโลกเกี่ยวกับการคาดการณ์ในอนาคต ไม่ใช่การรายงานภาวการณ์ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ สำหรับผลการสำรวจความคิดเห็นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นอันดับ 1 เพราะหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ได้รับผลกระทบจากเหตุภัยธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อประชากรกว่า 50 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 56.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ความเสี่ยงที่ 2 คือ เรื่องการโจมตีทางไซเบอร์ ที่มีการลักลอบเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลมากขึ้นในภูมิภาคนี้ ความเสี่ยงที่ 3 คือ เรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศ เช่น สถานการณ์ของเกาหลีเหนือ หรือ แรงกดดันจากสถานการณ์ สหรัฐ-จีน เป็นต้น

“รายงานดังกล่าว ไม่ได้บอกว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงในวันนี้ แต่เป็นการสำรวจเพื่อจะได้รู้ว่าแต่ละประเทศมีความเสี่ยงในอนาคตแต่ละหัวข้อดังกล่าวในระดับใดเท่านั้น และ WEF ยังจัดอันดับให้ไทยมีดัชนีความสามารถในการแข่งขันจากปีก่อนขยับมาเป็น 68.1 คะแนน จาก 67.5 คะแนน และอยู่ในอันดับที่ 40 ของโลก จากทั้งหมด 141 ประเทศ” นายอุตตม กล่าว

รมว.คลัง กล่าวอีกว่า แม้ประเทศไทยจะหลีกเลี่ยงจากผลกระทบเศรษฐกิจโลกไม่ได้ แต่รัฐก็พยายามทุกอย่างเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างเช่นโครงการ “ชิม ช้อป ใช้” ที่กระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงโครงการประกันรายได้สินค้าเกษตรกร เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์ม และล่าสุดก็มีมันสำปะหลัง ส่งผลให้เดือนตุลาคมที่ผ่านมากำลังซื้อในประเทศมีสัญญาณที่ดีขึ้น

นายอุตตม กล่าวอีกว่า ในด้านการลงทุนภาครัฐ ในช่วงก่อนสิ้นปี 2562 รัฐวิสาหกิจและบริษัทในเครือจะมีการลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงสุดท้ายของปี 2562 และในปี 2563 ได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินในปี 2562 มีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 – ตุลาคม 2562 จำนวน 122,088 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 82 ของแผนการเบิกจ่ายลงทุนสะสม

ส่วนการเบิกจ่ายงบลงทุนในปีงบประมาณในปี 2563 ยอดเบิกจ่าย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2562 มีการเบิกจ่าย จำนวน 7,975 ล้านบาท โดยรัฐวิสาหกิจที่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย แผนงานปรับปรุงท่อเพื่อลดน้ำสูญเสียของการประปานครหลวง งานก่อสร้างปรับปรุงขยายและงานวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำของการประปาส่วนภูมิภาค และโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 1 ปี 2559 ของการเคหะแห่งชาติ เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ปัจจุบันมีนักลงทุนต่างชาติ สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ทั้ง สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และยุโรป ซึ่งสนใจการลงทุนด้านเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมใหม่

“ผมเชื่อมั่นว่า ด้วยชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งแผนปฏิรูปตามยุทธศาสตร์ชาติ การดึงนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศ จะช่วยผลักดันไทยสามารถรับมือแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกได้อย่างดี ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังจะติดตามและวิเคราะห์ผลแต่ละมาตรการอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับปรุงให้เกิดประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง” นายอุตตม กล่าว

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
รัฐบาลเตรียมลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน