กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดันไม้ยูคาลิปตัส เป็นไม้มีค่าใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ ชงแบงก์ร่วมหนุนเกษตรกร โดยเบื้องต้น สยามฟอเรสทรีฯ จะคัดกรองลูกค้าให้ ตั้งเป้าปี 63 สามารถดำเนินการได้
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกับ ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการนำไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ ปัญหาอุปสรรคในการให้สินเชื่อของแต่ละสถาบันการเงิน รวมถึงความเป็นไปได้ในการนำไม้ยืนต้นมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ ที่ประชุม ได้มีความเห็นให้ “ไม้ยูคาลิปตัส” สามารถใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้
ทั้งนี้เนื่องจาก ไม้ยูคาฯเป็นไม้ยืนต้นประเภทไม้โตเร็วที่มีรอบตัดฟันสั้น มีระยะเวลาการตัด 3-5 ปี และเป็นที่ต้องการของตลาดไม้ทั้งในและต่างประเทศสูง ราคาซื้อขายค่อนข้างคงที่ รวมถึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และเมื่อตัดมาเพื่อใช้งานแล้ว ต้นสามารถแตกหน่อและเติบโตได้ถึง 3 ครั้ง ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการหาพันธุ์มาเพาะปลูก
โดยระหว่างปลูกก่อนตัดฟัน สถาบันการเงินจะเข้ามาสนับสนุนสินเชื่อให้แก่เกษตรกร เพราะในช่วงนี้มีระยะเวลาประมาณ 5 ปี ซึ่งเกษตรกรจะยังไม่มีรายได้ จำเป็นต้องเข้ามาสนับสนุนเงินหมุนเวียนเสริมรายได้ให้ก่อน
สำหรับการคัดกรองเกษตรกรผู้ปลูกที่จะนำไม้มาเป็นหลักประกันทางธุรกิจนั้น ซึ่งสถาบันการเงินยังไม่มีประสบการณ์และความรู้ ทาง บริษัท สยามฟอเรสทรี จำกัด (ธุรกิจในเอสซีจีแพคเกจจิ้ง) ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มบรรจุภัณฑ์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มาจากต้นไม้จะช่วยเหลือทำหน้าที่ดังกล่าวให้ ในเบื้องจะนำร่องกับกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้ทำสัญญาซื้อขายกับทางบริษัทก่อน เนื่องจากมีตัวตนที่ชัดเจนและมีไม้ยูคาลิปตัสที่ปลูกอยู่แล้ว ทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ การติดตาม และง่ายต่อการนำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ
ทั้งนี้ สถาบันการเงินเห็นชอบตามแนวทางดังกล่าว และจะนำเรื่องนี้ไปหารือในรายละเอียดก่อน เพราะสถาบันการเงินอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อย่างไรก็ตาม กรมฯ ตั้งเป้าว่าสถาบันการเงินพร้อมที่จะรับไม้ยูคาลิปตัสเป็นหลักประกันทางธุรกิจประมาณต้นปี 2563 แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของสถาบันการเงินเป็นหลักด้วย
ปัจจุบัน มีเกษตรกรที่เป็นคู่สัญญากับบริษัท สยามฟอเรสทรี ประมาณ 1 แสนราย แบ่งเป็นรายใหญ่ ปลูกไม้ยูคาฯตั้งแต่ 20 ไร่ขึ้นไป ประมาณ 3 หมื่นราย และรายย่อย น้อยกว่า 20 ไร่ ประมาณ 7 หมื่นราย
