อุตตม ระดม หน่วยงานรัฐและเอกชน หารือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เร่งแบงก์รัฐจ่ายเงินชดเชยชาวนา ช่วยลดต้นทุนการผลิตปลายปีนี้ พร้อมดันผู้ประกอบการในโครงการ “ชิมช้อปใช้” ให้ได้ 4 หมื่นรายตามเป้า พร้อมตั้งคณะทำงานพิจารณา 7 ข้อเสนอ สภาหอการค้าฯ ร่วมผลักดันเศรษฐกิจ

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงการประชุมร่วมคณะทำงานเร่งรัดติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากกระทรวงเกษตรฯ ได้ส่งรายชื่อเกษตรกรลงทะเบียนการปลูกข้าวนาปี 62/63 ให้กับทาง ธ.ก.ส. ภายใน 3 วันข้างหน้า เกษตรกรผู้ปลูกข้าวจะได้รับเงินชดเชยต้นทุน 500 บาทต่อไร่ จำนวนไม่เกิน 20 ไร่ วงเงินตั้งไว้ 25,000 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส.จะทยอยส่งเงินเข้าบัญชีหลังจากตรวจสอบรายชื่อถูกต้องแล้ว เพื่อให้เกษตรกรได้ใช้เงินในช่วงปลายปีและลดภาระต้นทุน ทั้งนี้่การช่วยลดต้นทุนเกษตรกร ยังมีแบงก์รัฐอย่างเช่น ธอส. ออมสิน ธ.ก.ส. เตรียมปล่อยสินเชื่อโครงการพิเศษ ช่วยเหลือรายย่อยในช่วงปลายปีอีกด้วย
ในส่วนของการหารือกับคณะทำงานเตรียมการนโยบาย “ชิมช้อปใช้” ที่จะเปิดให้ประชาชน นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเงิน 1 พันบาท โดยเริ่มเปิดลงทะเบียน 23 กันยายนนี้ ผ่านเว็บไซต์ www.ชิมช้อปใช้.com ของการท่องเที่ยวฯ หลังจาก มีการปรับแผนเชิงรุก ในการรับสมัคร ร้านค้าเข้าร่วมโครงการ มีผู้ประกอบการรายใหม่ เข้ามาสมัครเข้าร่วมแล้ว 3.2 หมื่นราย คาดว่าครบตามเป้าหมาย 4 หมื่นราย ในวันที่ 20 ก.ย.นี้ และ เมื่อรวมกับร้านค้ารายเดิมในโครงการบัตรสวัสดิการฯ จะมีผู้ประกอบการกว่าแสนราย

ทั้งนี้ ในวันอังคาร ที่ 17 ก.ย. 2562 กรมบัญชีกลาง การท่องเที่ยวฯและ ธ.กรุงไทย เตรียมเปิดงานใหญ่แนะนำร้านค้ารับชำระการใช้จ่ายเงิน และแผนที่ท่องเที่ยว ที่มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการ และการส่งเสริมใช้เงินผ่านแอ็ปเป๋าตุง และการรับชำระเงินผ่านแอ็ปถุงเงิน ของร้านค้า นับเป็นกลไกสำคัญที่ต้องใช้รองรับนโยบายในการช่วยเหลือของภาครัฐเพิ่มเติมในระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้นเพียง 2 เดือนช่วงท้ายปีอย่างแน่นอน เพื่อเป็นการส่งเสริมสังคมไร้เงินสดต่อไป
นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กรณี ร้านค้าเป็นห่วงว่า หากเข้าร่วมโครงการ “ชิมช้อปใช้” แล้ว ต้องเสียภาษีเพิ่มเติมนั้น ยืนยันว่า การเติมเงินไม่เกิน 3 หมื่นบาท สำหรับการท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวจะได้รับเงินคืนกลับมาร้อยละ 15 เป็นเงินงบประมาณที่รัฐบาลตั้งเอาไว้ชดเชยเพื่อการท่องเที่ยว ไม่เกี่ยวกับภาระภาษีของร้านค้าที่ต้องเสียเพิ่มเติม แต่อย่างใด แต่เป็นช่องทางสร้างรายได้ของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ โดยต้องติดป้าย “ชิมช้อปใช้” เพื่อให้ลูกค้าได้รับทราบและมาใช้บริการ
นายอุตตม กล่าวอีกว่า สำหรับการหารือกับคณะกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งทางกระทรวงการคลังได้รับข้อเสนอมาพิจารณา และการตั้งคณะทำงานศึกษาร่วมกัน เพื่อเป็นการผลักดันเศรษฐกิจร่วมกับภาคเอกชนด้วย
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ข้อเสนอของภาคเอกชน ในการผลักดันเศรษฐกิจของประทศ ประกอบด้วย
1. ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว เสนอให้ จัดตั้งจุดรับคืนภาษีในเมืองสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (Downtown VAT Refund) เป็นแบบถาวร หลังจากภาคเอกชนได้ทดลอง (Sand Box) ร่วมกับกรมสรรพากรในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาพบว่า มีการคืนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสนอ ออกมาตรการทางภาษีสำหรับการปรับปรุงโรงแรมและห้องพักเก่า (Renovate) เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว เนื่องจากขณะนี้ได้มีภาคเอกชนสนใจนำอาคารเก่าแก่ มาปรับปรุงเป็นที่พัก รีสอร์ทจำนวนมาก
2 การอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ขอให้ขับเคลื่อนและพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบ NSW (National Single Window) อย่างสมบูรณ์ โดยกรมศุลกากรทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหลัก และขอให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) เป็นเจ้าภาพในการดำเนินงาน

3. เร่งออกระเบียบปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.2562 และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีการเตรียมความพร้อมก่อนมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 63 เป็นต้นไป เพื่อให้กำหนดนิยามที่ดินทุกประเภทให้ชัดเจน เช่น ที่ดินรกร้าง การทำเกษตร เพื่อให้ท้องถิ่นประเมินจัดเก็บภาษีให้ถูกต้อง เพราะบางครั้งปลูกต้นไม้ไม่กี่ต้นหวังหลีกเลี่ยงภาษี หรือบางครั้งท้องถิ่นอาจประเมินผิดประเภท เพื่อสร้างความชัดเจนกับทุกฝ่าย
4 การอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจพาณิชย์นาวี อาทิ ด้านการถ่ายลำและผ่านแดน เพื่อให้ท่าเรือแหลมฉบังเป็น ASEAN GATEWAY การพิจารณามาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจพาณิชย์นาวี วงเงิน 18,000 ล้านบาท ให้มีผลในทางปฏิบัติอีกครั้งหนึ่ง และขอให้กรมศุลกากรร่วมกับภาคเอกชน โดยหอการค้าไทย ศึกษาแนวทางความเป็นไปได้ในการพิจารณาอนุญาตใช้ตู้คอนเทนเนอร์ที่ขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศ มาขนส่งในประเทศ
นอกจากนั้น ยังขอให้กรมสรรพากรเชิญผู้แทนจากหอการค้าไทยและสภาหอการค้าฯ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมให้ความเห็นต่อการปรับปรุงประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 105) เรื่อง กำหนดประเภท หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข กรณีการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรฯ เพื่อให้มีความชัดเจนและปฏิบัติได้จริง พร้อมทั้งขอให้แจ้งแนวปฏิบัติด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศตามสัญญาแบบ Time Charter Party ให้ภาคเอกชนได้รับทราบ เพื่อสร้างความเข้าใจต่อแนวปฏิบัติที่ชัดเจนร่วมกัน รวมถึงขอให้กรมฯ ศึกษารายละเอียดและแนวปฏิบัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพิจารณาภาษีสำหรับเรือ Super Yacht ต่างชาติ เพื่อบรรเทาผลกระทบกรณีที่ผู้ประกอบการจะต้องรับภาระต้นทุนระหว่างการขอคืนภาษี
5 การสนับสนุนงบประมาณดำเนินมาตรการป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง โดยให้กรมบัญชีกลางดำเนินโครงการฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในปี 2563 อาทิ โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) โครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (Construction Sector Transparency Initiative : CoST)
6.การร่วมแก้ไขปัญหาจากการจัดเก็บภาษีและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค โดยขอให้จัดตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน (กกร.ร่วมกับกระทรวงการคลัง)
7 การส่งเสริมการค้าชายแดนและข้ามแดน เสนอให้กรมศุลกากรพิจารณาขยายเวลาเปิด-ปิดด่าน ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับรถขนส่งสินค้าและแก้ปัญหารถแออัดบริเวณหน้าด่านชายแดน เช่น
ด่านที่ปิดเวลา 18.30 น. ขอขยายเพิ่มเป็น 20.00 น. ด่านที่ปิดเวลา 20.00 น. ขอขยายเวลาเป็น 22.00 น. และด่านที่ปิดเวลา 22.00 น. ขอขยายเวลา 24.00 น. เพื่อสร้างมูลค่าทางการค้าและลงทุนตามแนวชายแดนเพิ่มเติม ประกอบด้วย ด่านช่องสะงำ (ศรีษะเกษ) ด่านสะพานข้ามแม่น้ำแม่สาย (เชียงราย) ด่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 (ตาก) ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 (หนองคาย) ด่านมุกดาหาร(มุกดาหาร) ด่านช่องเม็ก (อุบลราชธานี) ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม) และด่านท่าลี่ (เลย)
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
กรมบัญชีกลาง เปิดรับสมัครร้านค้า “ชิมช้อปใช้”
