ลุ้น 3 มาตรการกระตุ้น ศก.เริ่มเดินเครื่อง ก.ย.นี้

ลุ้น 3 มาตรการกระตุ้น ศก.เริ่มเดินเครื่อง ก.ย.นี้


“อุตตม” คาด 3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เริ่มใช้เต็มสูบกลางเดือน ก.ย. มั่นใจกระตุ้นภาคการใช้จ่ายในประเทศ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้อย่างแน่นอน

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กรณี ครม.เศรษฐกิจได้มีมติเห็นชอบ 3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งกระทรวงการคลังได้นำเสนอนั้น ในวันพรุ่งนี้ (20 ส.ค.62) จะมีการนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ให้มีการพิจารณาต่อไป ซึ่งคาดว่าหากผ่านมติครม.แล้ว จะสามารถดำเนินการในขั้นตอนแรกได้ทันที คือการเตรียมความพร้อม ก่อนที่จะมีนำไปสู่การปฏิบัติจริงได้ในช่วง 1-2 เดือนต่อจากนี้

 

 

“ สำหรับมาตรการสินเชื่อของ ธกส.นั้น ทราบมาว่ามีการเตรียมการไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่มาตรการด้านอื่นๆ เช่น เรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งเบื้องต้นได้หารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯแล้ว ให้มีการประชาสัมพันธ์อย่างเข้มข้น ก่อนที่จะมีการใช้มาตรการดังกล่าว โดย ก.คลังจะรับผิดชอบด้านการติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นให้กับร้านค้าทั่วประเทศ เพื่อรองรับการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคผ่านระบบ E-Payment ที่มีอยู่ รวมไปถึงมาตรการการติดตามการดำเนินการให้ตรงตามเป้าที่รัฐบาลมุ่งหวังไว้ อาทิ โครงการบัตรสวัสดิการ เรื่องท่องเที่ยว จะเน้นไปที่ การพิจารณาหลักเกณฑ์เงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น ขั้นตอนการลงทะเบียน หรือมีการขึ้นทะเบียนแล้วไม่ใช้สิทธิ สิทธินั้นควรจะตกเป็นของคนอื่นหรือไม่ ซึ่งตนเชื่อมั่นว่ามาตรการดังกล่าวจะตรงตามเป้าที่ตั้งไว้จำนวน 10 ล้านคน โดยคาดว่าภายในกลางเดือนก.ย.นี้จะสามารถเริ่มดำเนินการได้ เพื่อที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน ผู้บริโภค และร้านค้าต่างๆได้” นายอุตตม กล่าว

ด้านกรอบวงเงินที่กำหนดไว้จำนวน 3.6 แสนล้านบาท ถือว่าพอเพียงกับการใช้ตามมาตรการที่กำหนด โดยใช้งบประมาณปี 2562 จำนวนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท และงบประมาณปี 2563 อีกประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเริ่มได้เต็มที่ในเดือน ก.ย. และจะส่งผลให้การกระตุ้นเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพในปลายปีนี้ ทำให้ตัวเลขจีดีพีเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ที่ร้อยละ 3

 

 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการติดตามเร่งรัดการลงทุนของหน่วยงานในระดับท้องถิ่น อาทิ อบต. อบจ. ที่มีอยู่ประมาณ 7,500 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งจะต้องร่วมหารือกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อกำหนดเป็นมาตรการกระตุ้นการลงทุนพัฒนาตามความต้องการในระดับท้องถิ่น เพื่อเพิ่มตัวเลขการลงทุนภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม กรณีที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้แถลงภาวะเศรษฐกิจของประเทศในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยระบุว่า การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 4.4 ซึ่งชะลอตัวลดลงจากไตรมาสแรกที่ร้อยละ 4.9 ทำให้การลงทุนภาคเอกชนเหลือร้อยละ 2.2 จากไตรมาส 1 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 4.4 รวมทั้งการส่งออกที่ปรับตัวลดลงร้อยละ 4.2

 

 

ขณะที่ด้านการผลิต สาขาการเกษตรหดตัวร้อยละ 1 จากเดิมไตรมาสแรกขยายตัวร้อยละ 1.7 ภาคอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ0.2 จากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ0.6 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความต้องการบริโภคภายในประเทศเริ่มอ่อนตัวเร็วและมากเกินไป ทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง ดังนั้นจึงต้องกระตุ้นสร้างความเชื่อมั่นในด้านการจับจ่ายใช้สอย

ดังนั้นต่อจากนี้ รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเจรจากับคู่ค้าต่างประเทศให้สามารถบรรลุข้อตกลงได้ เพื่อเป็นส่วนช่วยคลี่คลายสถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ และส่งผลดีให้เศรษฐกิจก้าวไปข้างหน้าต่อไปได้.