สมาคมประมงฯนัดรวมพลเสนอผลกระทบไอยูยู ให้ จุรินทร์ -เฉลิมชัย หัวหน้าและ เลขาธิการพรรค ปชป.ที่เตรียมลงพื้นที่ตลาดทะเลไทย รับฟังความเดือดร้อน โอด กว่า 4 ปี ต้องหมดอาชีพ หลายรายจบชีวิต เสนอรัฐบาลใหม่รื้อกฎหมายประมงรุนแรงเกินไป
รายงานข่าวเปิดเผยว่า ในวันที่ 28 มิ.ย. 62 นี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และว่าที่ รองนายกรัฐมนตรี และรมต.พาณิชย์ พร้อมด้วยนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคปชป.และว่าที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ จะมาเข้าร่วมรับฟังปัญหาในที่ประชุมใหญ่สมาชิกสมาคมประมง 22 จังหวัดด้วยช่วงเวลา 10.00-11.00 น.ที่ห้องประชุม ตลาดทะเลไท จังหวัดสมุทรสาคร
นายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สมาคมได้เชิญ สมาชิกเชิญชาวประมงที่ได้รับความเดือดร้อน มาช่วยกันนำเสนอ ปัญหาด้วย อีกด้านหนึ่งจะรวบรวมปัญหาเพื่อเสนอต่อ นายจุรินทร์ และนายเฉลิมชัย เพื่อเสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่ให้แก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง ซึ่งในเบื้องต้นชาวประมงแต่ละจังหวัดที่เดือดร้อนกว่า 4 ปี จากปัญหาการบังคับใช้กฎหมายประมงใหม่ปี58 ตามเงื่อนไขไอยูยู ดังนี้
1.ปัญหากฎหมาย วิธีปฏิบัติในการออกทำการประมง แต่ละครั้ง ที่มีโอกาส มีการเกิดความผิดพลาดในการปฏิบัติ ในการแจ้งจึงถือว่าเป็นการกระทำผิด แต่เป็นการกระทำผิดโดยไม่มีเจตนา แต่กลับต้องถูกดำเนินคดี มีชาวประมงเป็นจำนวนมาก ที่ต้องถูกดำเนินคดีและต้องเสียเงินค่าปรับเป็นเงินจำนวนหลักแสนบาท เป็น ล้านบาท หรือหลายล้านบาท อีกทั้งยังอาจจะถูกสั่งยึดสัตว์น้ำ ที่ไปทำการประมงอย่างถูกต้องทั้งหมดในแต่ละครั้งอีกด้วย จากการที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวิธีปฏิบัติ โดยไม่มีโอกาสต่อสู้คดี อีกทั้งยังอาจจะต้องถูกคำสั่งพักใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาตกันอีกด้วย
2.กลุ่มเรืออวนรุนเดิมที่ถูกกฎหมาย แล้วถูก ศปมผ. มี คำสั่ง ให้ยกเลิก ใบอนุญาตเรืออวนรุน ภายในเวลา 2 สัปดาห์ในช่วงปี 2558จำนวน 342 ลำโดยที่ ไม่มีมาตรการรองรับ ที่ดีพอ ทำให้หลายคนต้องหมดอาชีพแล้วสิ้นเนื้อประดาตัว กันจำนวนมาก
3.กลุ่มเรือประมงที่ถูกกฎหมายอยู่เดิม แต่ได้ตกสำรวจ จากการที่ ศปมผ. มีคำสั่งให้มีการสำรวจเรือประมง ในปี2558 ภายในช่วงระยะเวลา1 เดือน โดยที่ชาวประมงบางส่วนที่ไม่ได้รับรู้การประกาศแจ้ง สำรวจเรือ และเรือประมง บางส่วน แจ้งแล้วแต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้คีย์เข้าระบบ จึงถูกคำสั่ง ให้ยกเลิกทะเบียนเรือภายในเวลา 1 เดือนจำนวน 8,024ลำ แต่มีเรือที่มีสถานะอยู่ กล่าวคือยังมีเรืออยู่ได้ถูกยกเลิกทะเบียนไป 2,200 กว่าลำทำให้เรือประมงกลุ่มนี้ ไม่สามารถออกทำการประมงได้ ทำให้เดือดร้อนไม่มีอาชีพ เลี้ยงครอบครัว ต้องถูกเจ้าหนี้ ยึดที่ดิน บ้าน รถและทรัพย์สินอื่นๆ จนต้องหนี บางคนถึงกับจบชีวิตตัวเอง
4.กลุ่มเรือที่ถูกกฎหมายเจ้าท่าฉบับใหม่ที่ออกมาแล้วกำหนด ให้ยกเลิกทะเบียนเรือประมง ที่เลยกำหนดการต่อใบอนุญาต หรือไม่ได้ต่อใบอนุญาต โดยที่ชาวประมงไม่ได้รู้ กฎหมาย ฉบับใหม่อีกทั้งไม่เข้าใจกฎหมายด้วยเช่น เรือประมงที่งดใช้เรือประมงอยู่ เพราะไม่ได้ออกไปทำการประมง ก็ไม่ทราบว่าจะต้อง ต่อใบอนุญาตใช้เรือทุกๆปี จึงไม่ได้ไปต่อใบอนุญาตใช้เรือในแต่ละปี แต่กฎหมายใหม่กำหนดให้ต้องต่อใบอนุญาตทุกๆปี หากเลยกำหนด จะต้องถูกยกเลิกทะเบียนเรือประมงไปทำให้เป็นเรือประมงไม่มีทะเบียนไม่สามารถออกทำการประมงได้รวมทั้งไม่สามารถขายเรือ ได้อีกด้วยซึ่งเรือประมงถือเป็นทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ถือได้ว่าเป็นการยกเลิกทรัพย์สินของชาวประมงไปโดยง่ายๆ
5.กลุ่มเรือ ประมง ขาวแดง ที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา รวมทั้งกลุ่มที่ไม่มีชื่อที่จะได้รับการเยียวยาด้วย เพราะเหตุจาก ข้อ 2,3
6.กลุ่มเรือประมงฝั่งอ่าวไทยที่ต้องการจะไปทำการประมงฝั่งอันดามัน ที่ยังไม่สามารถข้ามฝั่งได้และกลุ่มเรือประมงฝั่งอันดามัน ที่ต้องการจะข้ามกลับมาทำประมงฝั่งอ่าวไทย ก็ไม่สามารถจะกลับมาทำประมงได้ เป็นต้น
7.กลุ่มผู้ประกอบการโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำที่มี ใช้ แรงงานต่างด้าว ผิดกฎหมายจะ ต้องถูกสั่งปิดโรงงานชั่วคราวและ ถาวร โดยง่ายๆตาม พรก.ประมง มาตรา11 มาตรา11/1 และกรณีที่มี ใช้ แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย จะต้องถูกปรับสูงถึง400,000-800,000บาทต่อแรงงานต่างด้าว 1 คนตามกฎหมายพรก.ประมงมาตรา 124 ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นการออกกฎหมายในการเลือกปฏิบัติ ต่อโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำเพียงอย่างเดียว แต่กับโรงงานประเภทอื่นๆ ที่มี ใช้ แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย กลับมีโทษปรับเพียงแค่ 10,000-100,000 บาทต่อแรงงานต่างด้าว1 คน โดยไม่ต้องมีการที่จะต้องถูกสั่งปิดโรงงาน เช่นเดียวกันกับโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำ จึงอาจจะเป็นการออกกฎหมายที่ขัดกับหลักการ ความเสมอภาคในการประกอบอาชีพความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมายความเสมอภาคในการที่เจ้าหน้าที่จะต้องปฏิบัติกับประชาชนอย่างเดียวกัน ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง
กรมประมงเผย “ปลาทูอ่าวไทย” ลดฮวบ เร่งมาตรการควบคุม หวั่นสูญพันธุ์