“สมคิด” ชี้การส่งออกมีโอกาสลดลงได้อีก ผลจากสงครามการค้า อยากให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็ว เพราะการเมืองดี เศรษฐกิจก็จะดีตาม เพียงขอให้ปรองดองความเชื่อมั่นจะตามมา
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยหลังจากหารือส่วนตัวกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.หลังการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.)นัดพิเศษ ว่าตัวเลขการส่งออกเดือนเม.ย. 2562 ที่ติดลบ 2.5% ในระยะต่อไปมีโอกาสที่จะลดลงได้อีกเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังไม่จบ ส่วนที่ไทยดูแลได้คือการผลักดันเศรษฐกิจในประเทศโดยเฉพาะในส่วนการลงทุนภาครัฐ ที่ขณะนี้มีโครงสร้างพื้นฐานที่รอการลงทุนอยู่ 7 แสนล้านบาท แต่ต้องรอรัฐบาลใหม่เข้ามาขับเคลื่อน
นอกจากนี้นายสมคิดยังกล่าวถึงกรณีของยุทธศาสตร์ชาติ เอกชนต้องการให้เดินหน้าต่อ ซึ่งในประเด็นนี้ได้บอกกับเอกชนว่า แม้รัฐบาลกำลังจะหมดเทอม ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ต้องดำเนินหน้าต่อไม่ต้องกังวล ไม่ต้องหนักใจ และรัฐบาลไหนก็ต้องการความร่วมมือกับเอกชน
“ถ้าการเมืองดีเศรษฐกิจจะดีขึ้น อย่างที่รู้กันว่าเราเจอสงครามการค้าส่งออกถูกกระทบ เพราะสินค้าที่มีปัญหากันคือสินค้าหลักที่ผู้ส่งออกไทยผลิต และบังเอิญเรามามีเลือกตั้งช่วงนี้อีก ช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานี้ความไม่แน่นอนยังมีอยู่ ทำให้การตัดสินใจลงทุนต่างๆ ชะลอลงไป หวังว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะเกิดขึ้นได้ในเวลาไม่นาน ทุกฝ่ายปรองดองกัน มองไปถึงอนาคต” นายสมคิด กล่าว
ส่วนเรื่องการพูดคุยในวันนี้ยังไม่ได้มีการหารือเรื่องการเมือง โดยในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลหวังว่าจะมีความชัดเจนในเวลาไม่นาน และขอให้ปรองดองเป็นหลัก ซึ่งในการเรียกความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ นั้น ต้องการให้มีการตั้งรัฐบาลเร็วที่สุดอยู่แล้ว ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับการพูดคุยกัน
ด้านรายชื่อรัฐมนตรีสายเศรษฐกิจในรัฐบาลชุดใหม่จะเป็นชุดเดียวกันกับรัฐบาลนี้หรือไม่ นายสมคิด ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีใครทราบ ซึ่งมีแต่การนำข่าวไปเสนอกันเอง และยังไม่มีใครมาทาบทามตนเองล่วงหน้า รวมทั้งขณะนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมย้ำว่าขณะนี้ประเทศเดินมาไกลมากแล้ว ไม่อยากให้ 4-5 ปีที่สร้างมาต้องเสียไปอย่างน่าเสียดาย
นายสมคิด ยังตอบไม่ได้ว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ ตนเองพร้อมที่จะสนับสนุนงานด้านเศรษฐกิจ เพราะยังไม่ถึงเวลาและต้องดูรายชื่อคณะรัฐมนตรีคนอื่นว่ามีใครบ้าง และใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย พร้อมระบุด้วยว่า ความเชื่อมั่นมาจากระบบและนโยบายมากกว่าตัวบุคคล
ข่าวอื่นที่น่าสนใจ