ลุ้น 5 บิ๊กโปรเจกต์ EEC เคลียร์จบ มิ.ย.นี้

ลุ้น 5 บิ๊กโปรเจกต์ EEC เคลียร์จบ มิ.ย.นี้


“คณิศ” ชู “EEC” คือ Game changer ดันไทยพ้นกับดักรายได้ปานกลาง เชื่อ 5 ปี สะสมการลงทุน-เทคโนโลยีใหม่ ย้ำ 5บิ๊กโปรเจ็กต์ 6.5 แสนล้าน ต้องจบ มิ.ย.

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) กล่าวในงานสัมมนา GAME CHANGER เกมใหม่ เปลี่ยนอนาคต Part 2 ในหัวข้อ EEC GAME CHANGER เศรษฐกิจการค้าการลงทุนไทย จัดโดย หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ว่า ด้วยปัจจุบันเศรษฐกิจต้องเผชิญกับภาวะความเสี่ยง การเปลี่ยนแปลงของประเทศเพื่อให้กับดักรายได้ปานกลาง

ไทยจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีเจ้ามาพัฒนาประเทศ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี Thailand 4.0 จึงประกาศเป็นนโยบายขึ้นมา จึงเกิด EEC และอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อให้เป็นตัวขับเคลื่อนและสร้างรายได้ให้ประเทศ

จากเดิมที่ไทยส่งออกต้องติดลบ GPD เติบโตได้น้อย จนในที่สุดการกำหนดเป้าหมายขึ้นมาเพื่อดึงนักลงทุนและเทคโนโลยีเข้ามา ทำให้ GDP ไทยสามารถโตได้เกิน 3% เห็นการลงทุนจากเอกชนในไตรมาสแรกปี 2562 บวกถึง 4.4% แม้เศรษฐกิจโลกจะเจอกับสงครามการค้าก็ตาม

ดังนั้น ตามแผน 5 ปี EEC จะสะสมการลงทุนให้ไทยเองมีการลงทุนในสัดส่วนถึง 10% จากเดิมอยู่ที่เพียง 5% เท่านั้น ไทยต้องสะสมเทคโนโลยี และยังมีแผนด้านการศึกษาเพื่อเยาวชน สร้างงานใหม่ แผนด้านสิ่งแวดล้อม

“นายกฯ บอกว่าคนไทย 4.0 ต้องใช้เทคโนโลยีหารายได้ เศรษฐกิจไทยช่วงท่านอยู่โตขยายตัวกว่า 3% อาทิ การลงทุนภาคเอกชนก่อนเข้ามา EEC ติดลบ หลังมาตัวเลขเพิ่มขึ้นกว่า 4.4%” นายคณิศ กล่าว

เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ถือเป็น GAME CHANGER ที่ต้องทำอย่างถูกต้อง โดยการสะสมเทคโนโลยี ทำให้คนในพื้นที่ EEC ได้รับประโยชน์ และเป็นโมเดลต้นแบบเพื่อขยายไปพื้นที่อื่น ที่ขอนแก่นบวก 5จังหวัดรอบๆ ที่เชียงใหม่บวกลำพูน ที่ภูเก็ตบวกพังงา ตรัง เพื่อผลักดันการท่องเที่ยว เป็นต้น

และ EEC คืออนาคตในการสร้างเมืองใหม่ ที่จะเกิดการเชื่อมโยงเป็นชิ้นเดียวกันในลักษณะของเมืองคู่แฝด อย่างกรุงเทพฯกับ EEC โตเกียวกับโยโกฮามา โซลกับอินชอน นิวยอร์กกับนิวเจอร์ซี ที่รัฐบาลใหม่จะต้องสานต่อ นี่จึงเป็นการทำให้กรุงเทพฯ บางลง เเละน่าอยู่มากขึ้น ขณะเดียวกันเกิดการสร้างงานเเละธุรกิจใหม่ที่เปลี่ยนเเปลงประเทศไทยมากขึ้น

สำหรับความคืบหน้าของ 5โครงการโครงสร้างพื้นฐาน EEC Project List ที่มีเงินลงทุน 650,000 ล้านบาทนั้น รัฐลงทุนประมาณ 200,000 ล้านบาท โดยรัฐจะได้ผลตอบแทนในครั้งนี้ถึง 450,000 ล้านบาท ในส่วนของรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เตรียมเข้า ครม. พิจารณาพร้อมกับโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ในวันที่ 28 พ.ค.2562

ขณะที่โครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ระหว่างการบินไทยและแอร์บัส ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่3 ที่จะแล้วเสร็จลงนามในสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนในเดือน มิ.ย.2562 นี้ทั้งหมด

“ตอนนี้เรามีถึง 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งปีที่เเล้วมีคนมาขอลงทุนผ่าน BOI กว่า 670,000 ล้านบาท อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงจะเข้า ครม. ในวันที่ 28 พ.ค. เเละจะเซ็นสัญญาในกลางเดือน มิ.ย. เช่นเดียวกับโครงการท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 ที่จะเข้าครม. 28 พ.ค.นี้เช่นกัน

คาดว่าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ทั้งหมดจะจบกระบวนการภายใน มิ.ย.นี้ สรุปได้ว่า 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสามารถใช้ EEC สร้างฐานการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อเปิดประตูเศรษฐกิจ เเละระดมการลงทุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูงเพื่อสร้างกำลังผลักดันประเทศ เราต้องบูรณาการงานร่วมกัน เราไม่ได้ทำคนเดียว เราทำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เเล้วพัฒนาร่วมกัน”
ดังนั้นในอีก 5 ปีข้างหน้า งานใหม่ใน EEC จะเพิ่มขึ้นกว่า 475,674 อัตรา โดยมีอาชีวะศึกษา 253,114 อัตรา ปริญญาตรี 213,943 อัตรา ปริญญาโทเเละปริญญาเอก 8,617 อัตรา โดย 3 อันดับที่ต้องการ คือ ดิจิทัล โลจิสติกส์ เเละอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ

ทั้งนี้ในวันที่ 27 พ.ค.2562 จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือบอร์ด EEC ซึ่งมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธาน ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อพิจารณาผลการเจรจาต่อรองผลประโยชน์ที่รัฐจะได้รับจาก โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่ 1 กับ กลุ่มกิจการร่วมค้ากัลฟ์และพีทีที แทงค์ (บริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จีดีเวลลอปเมนท์-บริษัทพีทีที แทงค์ เทอร์มินอล) ซึ่งยื่นประมูลเพียงรายเดียวอีกครั้ง

หลังจากวานนี้ (21 พ.ค.2562) คณะรัฐมนตรี (ครม.) ตีกลับการขอปรับปรุงหลักการของโครงการฯ ที่ตกลงในเงื่อนไขให้เอกชนที่ชนะประมูล เป็นผู้ลงทุนถมทะเล ด้วยเงินลงทุน 10,000 ล้านบาท ซึ่ง กนอ.จะต้องทยอยคืนเงินให้เอกชน โดยเอกชนคิดดอกเบี้ยที่ 4.8% เป็นเงิน 720 ล้านบาท/ปี ตลอด 30 ปี จากอัตราอกเบี้ย 2.5% เป็นเงินเพียง 600 ล้านบาท/ปี

ส่งผลให้ผลประโยชน์ที่ กนอ. จะได้รับเหลือ 6,606 ล้านบาท ลดลง 29% หรือ 2,705 ล้านบาท จาก 9,311 ล้านบาท จากนั้นจะนำเรื่องเสนอต่อ ครม.อีกครั้งในวันที่ 28 พ.ค.เพื่อพิจารณา

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
ไทยติดอันดับผู้ผลิต “Rare Earth” แร่สำคัญ! จีนใช้ต่อรองอเมริกา