ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนชี้ว่าการรังแกของสหรัฐฯ จะไม่ได้ผลกับจีน และจำเป็นต้องหาทางออกร่วมกันเพื่อยุติความตึงเครียดทางการค้า
สำนักข่าวไชน่า ซินหัว รายงานว่า ทอม วัตกินส์ ที่ปรึกษาศูนย์นวัตกรรมมิชิแกน-จีน (Michigan-China Innovation Center) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวเมื่อเร็วๆ นี้ต่อประเด็นสงครามการค้าว่า “พูดให้ชัดก็คือเกษตรกร โรงงาน และผู้บริโภคชาวอเมริกันกำลังชดใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจากสงครามการค้าของสหรัฐฯ”
ทั้งนี้ วันศุกร์ที่ผ่านมา (10 พ.ค.) รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มจากเดิมร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6.4 แสนล้านบาท) ทั้งยังขู่จะขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก
ส่วนทางด้านจีนก็ตอบโต้มาตรการปกป้องทางการค้ารอบใหม่ของสหรัฐฯ ด้วยการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. เป็นต้นไปและ “จะสู้ไม่ถอย”
วันพุธที่ผ่านมา (15 พ.ค.) เกิ๋งส่วง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ชี้ว่าสหรัฐฯ เป็นฝ่ายเริ่มข้อพิพาททางการค้า สิ่งที่จีนทำลงไปจนถึงตอนนี้เป็นการป้องกันตัวเองโดยแท้ เพื่อปกป้องสิทธิโดยชอบธรรมและผลประโยชน์ รวมถึงเพื่อคงไว้ซึ่งระบบพหุภาคีและระบบการค้าเสรี
วัตกินส์ระบุว่า ในระยะยาวแล้ว ไม่มีทางที่สหรัฐฯ จะเอาชนะจีนได้ด้วยกลยุทธ์อย่างการสร้างความขายหน้า ข่มขู่ และคุกคาม เขาหวังว่าสหรัฐฯ กับจีนจะยังประนีประนอมกันได้ก่อนที่จะเกิดผลเสียต่อชาวอเมริกันมากไปกว่านี้
“เราจำเป็นจะต้องหาทางออกที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายในเร็ววัน” วัตกินส์กล่าวพร้อมเสริมว่าหนทางเดียวที่เหลืออยู่คือข้อตกลงที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายเพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้
ขอบคุณข้อมูล สำนักข่าวไชน่า ซินหัว
เขากล่าวว่าบริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจทั้งทางเศรษฐกิจและทางธุรกิจที่จะเดินตามเกมจีน เพื่อตีตลาดจีนซึ่งมีผู้บริโภค 1.4 พันล้านคน ประธานบริษัทกับพวกผู้ถือหุ้นก็ร่ำรวยเพราะเหตุนี้ สหรัฐฯ ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่สหรัฐฯ ควรกลัวมากที่สุดไม่ใช่ความสำเร็จของจีน แต่เป็นความล้มเหลวของตนเอง เพราะ “เมื่อไรที่จีนสะดุด โลกก็จะคะมำ”
.
เขากล่าวอีกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเป็นความสัมพันธ์ทวิภาคีที่สำคัญที่สุดของโลกเราทุกวันนี้ “วิธีที่เราจะเลือกแก้ไขข้อขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นจะส่งผลต่อทั้งชาวอเมริกัน ชาวจีน และมนุษยชาติทุกคน”