ไข้หวัดใหญ่ระบาดเร็ว แค่ 4 เดือนสังเวย 10 คน

ไข้หวัดใหญ่ระบาดเร็ว แค่ 4 เดือนสังเวย 10 คน

กรมควบคุมโรคเผยโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดหนัก-เร็ว 4เดือนแรกของปีเจอป่วยแล้ว 1.5 แสนราย ตายไปอีก 10 คน

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ออกมาระบุว่าในปี 2562 มีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่แล้วกว่า 152,185 ราย และมีผู้เสียชีวิตถึง 10 ราย ภายในสี่เดือนแรกของปีนี้ จากการคาดการณ์เชื่อว่าผู้ป่วยในกลุ่มไข้หวัดอาจมีถึง 2 แสนรายเป็นอย่างต่ำ แต่ตัวเลขจริงอาจถึงล้านคน ห่วงฤดูฝน-เปิดเทอม ยิ่งเพิ่มการระบาด จาก นร.ไปสู่ครอบครัว เสนอ สธ.ฉีดวัคซีนครอบคลุมกลุ่มเด็กนักเรียน ช่วยลดระบาดสู่ครอบครัว 60% ย้ำไข้สูงเกิน 24-48 ชม.ควรพบแพทย์ รักษาเร็ว ยิ่งลดรุนแรง ลดแพร่เชื้อ

กลุ่มที่ถูกตรวจพบว่าเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สูงที่สุดในประเทศไทยคือ กลุ่มเด็กที่มีอายุระหว่าง 7 – 9 ปี คิดเป็น 13.71% ตามมาด้วยกลุ่มคนวัยทำงาน 25 – 34 ปี (12.99%) และ เด็กอายุ 10 – 14 ปี (12.77%) ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าการติดต่อของโรคไข้หวัดใหญ่มักเกิดขึ้นภายในโรงเรียนเป็นอันดับ1 ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำในหน้าฝน เนื่องจากเชื้อไวรัสมีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายได้ดีในประเทศเขตร้อนที่มีความชื้นสูง

ขณะเดียวกัน ในงานแถลงข่าวสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยและแนวทางการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ โดย ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ กล่าวว่า คนมักเข้าใจว่า โรคไข้หวัดใหญ่ไม่ร้ายแรง สามารถหายได้เอง แต่จริงๆ แล้ว หากวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ต้องรีบทำการรักษาโรค เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะคนในครอบครัว และป้องกันความรุนแรงของโรคที่อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้น จึงต้องหมั่นสังเกตอาการตนเองและคนรอบข้าง หากมีไข้สูงเกิน 24 ชั่วโมง ให้รีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาได้อย่างถูก ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยลงและการแพร่ระบาดไปพร้อมกัน

รศ.(พิศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี และนายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไวรัสไข้หวัดใหญ่เปรียบเสมือนลูกเงาะ ซึ่งจะมีขน 2 สี โดยสีหนึ่งจะจับกับเซลล์ทางเดินหายใจ และผลิตลูกหลานออกมาทำให้เราป่วย ซึ่งแต่ละปีไวรัสจะมีการเปลี่ยนแปลงของขนนี้เพื่อป้องกันการสูญพันธุ์ ส่งผลให้เกิดการระบาดทุกปี และมีหลายสายพันธุ์ ซึ่งโรคไข้หวัดใหญ่นั้นเดาความรุนแรงได้ยาก เพราะแม้จะเป็นเชื้อตัวเดียวกัน แต่แต่ละคนมีอาการรุนแรงมากน้อยต่างกัน บางคนเป็นมาก บางคนก็เป็นน้อย ซึ่งทำให้คนเข้าใจว่า โรคไข้หวัดใหญ่สามารถหายได้ด้วยตัวเองและไม่รุนแรงมาก ซึ่งข้อเท็จจริง คือ ยิ่งรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ได้เร็ว จะยิ่งลดอาการรุนแรง อาการแทรกซ้อน และลดการเสียชีวิต จึงต้องรีบมาพบแพทย์ ดังนั้น ข้อแตกต่างระหว่างโรคไข้หวัดใหญ่และโรคไข้หวัดธรรมดา คือ หากมีอาการไข้สูงนาน 24-48 ชั่วโมง ควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

“ยิ่งขณะนี้ยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะเข้าสู่ช่วงของหน้าฝน และมีการเปิดเทอมอีก ซึ่งการที่เด็กมาอยู่รวมกันและไม่ได้มีการรักษาอนามัยความสะอาด จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดไปยังคนในครอบครัวได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับ 7 กลุ่มเสี่ยง ซึ่งรวมถึงกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือน – 3 ปีด้วย อย่างไรก็ตาม มีแนวคิดที่จะเสนอให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มเด็กนักเรียนทั้งหมดด้วย เพราะมีการศึกษาว่า หากสามารถฉีดวัคซีนให้นักเรียนทั้งหมด จะช่วยลดการระบาดไปยังคนใสครอบครัว โดยไม่ต้องฉีดวัคซีนได้ถึง 60% ซึ่งขณะนี้การผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่เองของประเทศไทย อยู่ในการทดสอบขั้นสุดท้ายแล้ว คาดว่าภายใน 2-3 ปีจะมีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ผลิตและใช้เอง ซึ่งสามารถนำมาตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้” รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี กล่าว

รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวว่า สำหรับการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ จะมียาโอเซลทามิเวียร์ ซึ่งยารักษาโรคจากไวรัสนั้น จะเป็นยาที่ช่วยยับยั้งไม่ให้ไวรัสเจริญเติบโต แต่ไม่ใช่ยาที่เข้าไปฆ่าเชื้อไวรัส ดังนั้น หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ได้เร็ว และรับประทานยาได้เร็ว ก็จะยิ่งช่วยลดอาการรุนแรงและลดการแพร่เชื้อได้นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันการรักษาให้ครบโดสจะอยู่ที่ 10 เม็ด โดยรับประทานวันละ 2 มื้อ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีการพัฒนายาใหม่ๆ และได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว โดยเป็นยารักษาที่รับประทานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังคงมีราคาแพงมากและเริ่มมีการใช้แค่ใน รพ.เอกชน

สำหรับโรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 4 สายพันธุ์ คือ A, B, C และ D โดยสายพันธุ์ A และ B เป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ซึ่งประเทศไทยมีแนวโน้มพบการระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลของสายพันธุ์ B มากกว่าสายพันธุ์ A โดยสายพันธุ์ B จะไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์ A และไม่สามารถติดต่อระหว่างคนกับสัตว์ได้

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ
สั่งเฝ้าระวัง “ซิฟิลิส” แนะกลุ่มเสี่ยงใช้ถุงยาง