สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ได้เผยเผยแพร่รายงานเศรษฐกิจล่าสุดเมื่อวันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมาว่า อุปสงค์จากภายนอกประเทศที่ลดลงอย่างรุนแรง จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของทั้งจีนและสหรัฐอเมริกา มีแว่วว่าจะหดตัวลง โดยจีดีพีที่แท้จริงของสหรัฐฯจะหดตัวลงในช่วง -0.3 ถึง -0.6% และจีดีพีของจีนจะหดตัวลง -0.5 ถึง -1.5%
อย่างไรก็ตาม ไอเอ็มเอฟ ระบุอีกว่า ผลกระทบที่มีต่อจีนจะรุนแรงกว่า เนื่องจากการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนสูงสำหรับเศรษฐกิจจีน เมื่อเทียบกับการส่งออกของสหรัฐไปยังจีน ซึ่งไม่ได้มีสัดส่วนสูงสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐ
ผลกระทบของการปรับขึ้นภาษีนำเข้าที่มีต่อจีดีพีโดยรวมนั้น เพิ่มมากขึ้นสำหรับเยอรมนีและเกาหลีเหนือ ขณะที่ลดลงเล็กน้อยสำหรับจีนและญี่ปุ่นซึ่งมีภาคการผลิตที่ค่อนข้างใหญ่ และได้หลอมรวมเข้ากับห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
สำหรับแคนาดาและสหรัฐ ซึ่งมีภาคการผลิตที่เล็กกว่า และมีการดำเนินการน้อยกว่าในแง่ของการรวมตัวระดับโลกนั้น ผลกระทบจึงมีแนวโน้มลดลง
“ขณะที่ประเทศที่ 3 บางประเทศอาจได้ประโยชน์จากความขัดแย้งทางการค้า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน จะทำให้เกิดความไม่แน่นอนมากขึ้น และจะส่งผลกระทบด้านลบต่อความเชื่อมั่น และทำให้ภาวะการเงินทั่วโลกตึงตัว โดยจะส่งผลกระทบในทางลบต่อประเทศส่วนใหญ่” ไอเอ็มเอฟ ระบุ
นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟ ยังระบุว่า ในระยะยาว ขีดความสามารถทางการผลิตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากจีนและสหรัฐไปเป็นเม็กซิโก แคนาดา และเอเชียตะวันออก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นจะทำให้มีคนตกงานเป็นจำนวนมากในจีนและสหรัฐ
