ญี่ปุ่น ออกกฎหมาย ห้ามลงโทษ ตีเด็ก

ญี่ปุ่น ออกกฎหมาย ห้ามลงโทษ ตีเด็ก

รัฐบาลญี่ปุ่น เห็นชอบร่างกฎหมาย ห้าม บิดามารดา ลงโทษทางร่างกายต่อเด็ก หลังจากเกิดเหตุทารุณกรรมหลายคดี ขณะข้อมูล ยูนิเชฟ เผยเด็ก 300 ล้านคนถูกลงโทษด้วยการตี โดยกระแสต่อต้านการลงโทษด้วยการตี ขยายตัวทั่วโลก มีกว่า 60 ประเทศแล้วที่ออกกม.ห้ามตีเด็ก

รายงานข่าวจากต่างประเทศเปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้เห็นชอบร่างกฎหมายป้องกันการทารุณกรรมเด็กฉบับทบทวน โดยห้ามบิดามารดา ผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่สวัสดิการ ลงโทษทางร่างกายต่อเด็ก ไม่ว่าจะอ้างว่าเป็นการทำโทษเพื่ออบรมสั่งสอนก็ตาม อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวไม่ได้กำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน

ทั้งนี้ นายกฯ ชินโซ อาเบะ กล่าวต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า ผู้ใหญ่ทุกคนมีความรับผิดชอบในการปกป้องชีวิตของเด็ก รัฐบาลจะดำเนินการอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดในการป้องกับการทารุณกรรมต่อเด็ก

ร่างกฎหมายนี้ยังกำหนดให้มีทนายความและแพทย์อยู่ประจำที่ศูนย์สวัสดิภาพเด็กแห่งต่าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการแพทย์และกฎหมายกับเจ้าหน้าที่สวสัดภาพเด็ก นอกจากนี้ยังกำหนดโครงร่างของแผนการเพิ่มจำนวนศูนย์ให้คำปรึกษาด้วย ผู้เชี่ยวชาญจะให้คำปรึกษาและช่วยเหลือเหยื่อความรุนแรงภายในครอบครัว โดยจะพยายามตรวจหาสัญญาณการกระทำทารุณต่อเด็กตั้งแต่เนิ่น ๆ

นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นยังมีแผนที่จะออกใบอนุญาตแก่เจ้าหน้าที่ทำงานด้านสวัสดิภาพเด็ก โดยรัฐบาลหวังว่าจะผ่านกฎหมายนี้ได้ในการประชุมรัฐสภาสมัยปัจจุบัน

การผลักดันการแก้ไขกฎหมายคุ้มครองเด็กมีขึ้นหลังจากเกิดกรณีทารุณกรรมที่น่าสลดใจหลายครั้ง เช่น กรณีของเด็กหญิงยูอา ฟูนาโตะ วัย 5 ขวบ ที่ถูกทารุณทางร่างกายและทิ้งให้อดอาหารจนเสียชีวิต เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว กรณีของ เด็กหญิงมิอะ คูริฮาระ วัย 10 ขวบที่ถูกพ่อลงโทษให้แช่น้ำเย็นในฤดูหนาวจนเสียชีวิต เมื่อเดือนมกราคม

ทั้งนี้ หน่วยงานและองค์กรต่างๆที่ทำงานด้านเด็ก ต่างสนับสนุนร่างกฎหมายของรัฐบาล พร้อมเน้นย้ำว่า การลงโทษโดยอ้างว่าอบรมสั่งสอนของพ่อแม่บางคน ไม่เพียงแต่ก่อความรุนแรงทางร่างกาย แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตใจของเด็กด้วย พ่อแม่บางคนใช้ลูกเป็นที่ระบายอารมณ์ และใช้วิธีการลงโทษที่ทารุณ เช่น ให้อดอาหาร ขังไว้ในห้อง ฯ เป็นต้น โดยการลงโทษด้วยวิธีเช่นนี้สมควรจะถูกห้ามด้วยเช่นกัน

เผยเด็ก 300 ล้านคนถูกลงโทษด้วยการตี

ทั้งนี้ จากข้อมูล การรายงานข่าวจากสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา ได้เผยแพร่รายงานพิเศษ โดยอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของ คลอเดีย แคปปา นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญขององค์การยูนิเซฟ ซึ่งเป็นผู้จัดทำรายงานสถานการณ์เด็กทั่วโลกเมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว พบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 2-4 ปี รวมกว่า 300 ล้านคนในประเทศต่างๆ มักถูกทำโทษเพื่อสั่งสอนเรื่องความประพฤติ และเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตาม กระแสต่อต้านการทำโทษเด็กด้วยวิธีตบตีเริ่มขยายวงกว้างในหลายประเทศทั่วโลกเช่นกัน หลังมีรายงานบ่งชี้ว่าการทำโทษเด็กด้วยการตบตี ส่งผลเสียต่อพัฒนาการของเด็ก และทำให้เด็กมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงกับผู้อื่นเมื่อเติบโตขึ้น

รายงานของยูนิเซฟระบุว่าการทำโทษเด็กเป็นการใช้กำลังทางกายภาพ มีทั้งการตบหรือตีตามร่างกายส่วนต่างๆ ของเด็ก การใช้ไม้เรียวหรืออุปกรณ์อื่นๆ ฟาดหรือเฆี่ยน รวมถึงการเขย่าตัวหรือหยิก ซึ่งผู้ปกครองบางส่วนอาจใช้หลายวิธี ควบคู่ไปกับการอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าพฤติกรรมแบบไหนที่ทำให้เด็กต้องถูกทำโทษ

ซีเอ็นเอ็นระบุว่า สวีเดนเป็นประเทศแรกที่ออกกฎหมายห้ามทำโทษเด็กด้วยการตบตีตั้งแต่ปี 2522 และหลายประเทศทั่วโลกก็เริ่มบังคับใช้กฎหมายใกล้เคียงกันนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ยูนิเซฟรณรงค์ต่อต้านการทำโทษเด็กด้วยการตบตีหรือใช้กำลังเมื่อปี 2549 เป็นต้นมา

จนกระทั่งปัจจุบัน มี 60 ประเทศและเขตปกครองทั่วโลกที่มีกฎหมายห้ามตบตีเด็ก แต่แคปปาระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ช่วยให้การตบตีเด็กลดลงมากนัก เพราะประเทศต่างๆ ยังมีค่านิยมว่าผู้ปกครองหรือครูอาจารย์มีสิทธิทำโทษเด็กเพื่อให้เกิดระเบียบวินัย

ทั้งนี้มี ผลวิจัยของ กรอกัน เคย์เลอร์ และเอลิซาเบ็ธ แกร์ชอฟฟ์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสตินในรัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ เรื่องการวิเคราะห์ประสิทธิผลของการทำโทษด้วยการตีเด็ก มีการสุ่มสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 160,927 คน พบว่าไม่มีหลักฐานบ่งชี้ชัดเจนว่าการทำโทษเด็กด้วยการตบตีทำให้เด็กมีผลปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้จริง

แต่กลับพบว่าการใช้กำลังทางกายภาพกับเด็กเป็นอันตรายต่อพัฒนาการของเด็กมากกว่า เนื่องจากเด็กที่ถูกทำโทษด้วยการตบตีเป็นประจำมีแนวโน้มจะก้าวร้าว มีปัญหาทางจิต และใช้กำลังกับผู้อื่นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่