หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า กังวลการยกฟ้องนายเปรมชัยเรื่องการครอบครองซาก “เสือดำ” ตั้งคำถาม “ซุปหางเสือหายไปไหน” และต้องตีความเรื่อง “การครอบคลองสัตว์ป่า” ใหม่
เมื่อวันที่ 20 มี.ค.น.ส.กณิตา อุ่ยถาวร หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้โพสต์ข้อความและภาพหลักฐาน ผ่านเฟซบุ๊ก หลังศาลจังหวัดทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ตัดสินคดีล่าสัตว์ป่าของนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และพวกโดยจำคุก 16 เดือน และยกฟ้องข้อหาร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และข้อหาร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำ)โดยระบุว่า
“การยกฟ้องนายเปรมชัยเรื่องการครอบครองเสือดำนั้นตนเคารพคำตัดสินของศาล และบอกับตัวเองว่าไม่มีอะไรต้องกังวล..แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับรู้สึกกังวลขึ้นมาเฉยๆ ซะอย่างนั้น มีอยู่จุดหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น ก็คือการยกฟ้องคุณเปรมชัยเรื่องการครอบครองซาก “เสือดำ” ค่ะ…แน่นอนว่าตัวเองนั้นต้องเคารพและเชื่อมั่นคำตัดสินของศาลอยู่แล้วนะคะ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองกลับมาที่ตัวเองว่าทำอะไรบกพร่องไปรึเปล่า? จึงขอทบทวนสิ่งที่ทำไปตามที่สื่อก็ทราบกันดีอยู่แล้วดังนี้.. วัตถุพยานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชิ้นเนื้อต่างๆ หนังเสือดำที่มีรอยกระสุน หางเสือต้มซุปในหม้อ กระดูกในลำธาร ลำไส้ มีดหลายเล่ม เขียง แม้แต่เลือดบนใบไม้ หรือคราบเลือดบนดิน ฯลฯ ล้วนแต่มาจาก “เสือดำ” ตัวเดียวกัน แต่คงไม่จบง่ายแค่นั้น.
“งานนิติวิทยาศาสตร์” ไม่ใช่งานสั้นๆ ที่จะตอบแค่ว่าเป็นสัตว์ชนิดอะไร? เป็นตัวเดียวกันหรือไม่? เพียงแค่นั้น..แต่จะต้องตอบให้ได้มากกว่านั้นหลังจากที่ประมวลรวมผลทั้งหมดแล้ว เช่น เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างในที่เกิดเหตุ? เขาไปทำอะไรกันตรงนั้น? ลำดับของเหตุการณ์เกิดอะไรขึ้นก่อนหลัง? แล้วผู้ที่เกี่ยวข้องเขามีพฤติกรรมอะไร? หรือมีเจตนาอย่างไรบ้าง? ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องการหลักฐานเชื่อมโยงกันทั้งหมด ข้าพเจ้าคงตอบไม่ได้ในที่นี้ว่ามันเชื่อมโยงกันมากน้อยแค่ไหน..แต่อย่างน้อย (ขอแค่อย่างน้อยที่สุดก็แล้วกันนะคะ) การเห็นรอยกระสุน เห็นมีดทำครัวและเขียง เห็นซุปในหม้อ เห็นกระดูกที่ทิ้งแล้ว เห็นการหมกซาก… ย่อมบอกได้ว่าพื้นที่ตรงนี้มีพฤติกรรมการล่า มีการฆ่าสัตว์ให้ตาย มีการชำแหละ มีการปรุงอาหาร มีการบริโภค มีการซุกซ่อน ฯลฯ เกิดขึ้น มีใครอยู่ตรงนั้นตอนนั้นบ้าง ก็เชื่อมโยงกันไป.. แล้วพฤติกรรมเหล่านี้มันอยู่ในนิยามความหมายของ “การครอบครองซากสัตว์ป่า” รึเปล่าเอ่ย?? (อันนี้คือไม่รู้จริงๆ ค่ะ)
แต่อีกอย่างนึงที่อยากจะบอกไว้ก่อนเลยก็คือ ข้าพเจ้าไม่มีเจตนาอันใดแม้แต่น้อยที่จะไปพยายามหาจุดผิดให้กับจำเลย ไม่มีอคติใดใด ความมีอคติ-หรือไม่มีอคติ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดใดกับผลการตรวจ DNA เลยค่ะ ทุกอย่างเป็นไปตามเนื้อผ้าล้วนๆ ซึ่งโกหกไม่ได้ ปรุงแต่งข้อมูลอะไรก็ไม่ได้.. เพราะมันมีหลักฐานทุกขั้นตอนหมด ส่วน DNA ก็เป็นรหัสที่ตรวจซ้ำกี่ทีตลอดชีวิตก็ได้ผลเหมือนกันค่ะ ดังนั้นขอให้มั่นใจเลยว่าจรรยาบรรณของผู้ที่ทำงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ในเบื้องต้น คือไม่มีการตั้งธงไว้ก่อน แล้วมองจำเลยเป็นผู้ร้าย แต่ต้องให้ความยุติธรรมกับทุกคนและทุกชีวิต (คือหมายถึงตัวสัตว์ด้วย ซึ่งเป็นการหาพื้นที่ยืนให้สัตว์อย่างเท่าเทียมมนุษย์) บนข้อมูลของ “ความจริงที่ปรากฏ” อย่างเสมอภาคกัน…
สำหรับเคส “เสือดำ” เคสนี้ยอมรับว่าเป็นเคสที่มีความซับซ้อนมากที่สุดเคสนึงในประสบการณ์การทำงานของข้าพเจ้า ซึ่งได้พยายามทุ่มเททำให้ดีที่สุด…แต่ก็อาจจะมีหลายจุด หลายประเด็นที่คงต้องไปเรียนรู้เพิ่มเติมอีกมาก ความติดใจในเรื่อง การพบ “ซุปหางเสือในหม้อ” กับการพบ “ซากไก่ฟ้าหลังเทาในกะละมัง” แต่ได้ความผิดเรื่องการครอบครองไก่ฟ้าเพียงอย่างเดียว อาจเป็นอะไรที่ข้าพเจ้าไม่มีความเข้าใจมากนัก.. คงต้องไปศึกษาเพิ่มเติม หรือไปค้นคว้าหานิยามของคำว่า “การครอบครองซากสัตว์ป่า” ให้ดีขึ้นกว่านี้ก่อนนะคะว่ามันคืออะไร?”
