รองนายกฯ สมคิด เร่งรัฐวิสาหกิจลงทุน ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อแข่งขันกับต่างประเทศ แต่ต้องรักษาวินัยทางการเงินให้เคร่ง ไม่มีมั่วนิ่ม กำหนดให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีไม่เกินร้อยละ 60
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประชุมติดตามความคืบหน้า แผนดำเนินงานขอรัฐวิสาหกิจ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ว่า รัฐวิสาหกิจนับเป็นกำลังหลักสำคัญ การบริหารในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จึงพยายามสร้างความเปลี่ยนแปลง โน้มน้าวให้หลายองค์กรร่วมกันปฏิรูปประเทศ ยอมรับว่าการสร้างนวัตกรรมใหม่ เป็นไปไม่ได้จะทำให้ทุกคนยอมรับ จึงต้องหาสมาร์ทฟาร์มเมอร์เป็นตัวอย่างในชุมชน
เมื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ จะทำให้หลายคนในชุมชนยอมเปลี่ยนตามไปด้วย ต้องสร้างต้นแบบ จึงมอบหมายให้ ธ.ก.ส. ช่วยสร้างหัวขบวน ปรับวิธีคิด วิธีการทำงาน สำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนโยบายการเงิน การคลัง ทุกหน่วยงานต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ร่วมกัน แต่หากเดินไปคนละทาง เช่น ธปท. และคลัง มีนโยบายเศรษฐกิจขัดแย้งกันคงลำบาก ดังนั้น อนาคตด้านการเงิน การคลังต้องร่วมกันเดินทาง ร่วมกันคิดแนวทางที่เหมาะกับประเทศไทย
นายสมคิดกล่าวต่อว่า ยอมรับว่าแบงก์รัฐ ทั้งกรุงไทย ออมสิน เอสเอ็มอีดีแบงก์ ธ.ก.ส. ธอส. ร่วมมือกันอย่างดีในการดูแลผู้มีรายได้น้อย ผู้ประกอบการ ในส่วนของ ธ.ออมสิน เดิมเน้นส่งเสริมการออม แต่เมื่อมีทุนเพียงพอแล้วต้องให้ผู้ประกอบการมีเงินทุนตั้งตัวได้ ธอส.เป็นผู้นำรุ่นใหม่ประกาศเดินหน้าโครงการบ้านล้านหลัง ขอให้ขับเคลื่อนต่อไป สำหรับการสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล กำหนดเป้าหมายในปีหน้าระบบ 5 จี ต้องคืบหน้า เห็นผลเป็นรูปธรรม ในช่วงการเปลี่ยนแปลงต้องให้บีโอไอเป็นแรงจูงใจกับภาคเอกชน สร้างการเปลี่ยนผ่านในการลงทุน
ด้านผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ชี้แจงที่ประชุม ว่า แผนลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้า วงเงิน 1.1 ล้านล้านบาท ขณะนี้รัฐบาลอนุมัติก่อสร้างรถไฟทางคู่ 900 กิโลเมตร นับว่าเป็นการสร้างเส้นทางรถไฟสูงสุดในรอบ 68 ปีที่ผ่านมา และยังพร้อมขยายแผนก่อสร้างเชื่อมโยงจากเมืองหลักไปยังเมืองรองได้มากขึ้น
สำหรับการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงไทย-จีน เจรจาแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคมนี้ ลงนามสัญญาสุดท้ายในเดือนเมษายน ในส่วนของความคืบหน้าก่อสร้างรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน หลังจากเจรจาอีกรอบในวันพรุ่งนี้ คาดว่าปลายเดือนมีนาคม รฟท.และซีพีเจรจาได้ข้อสรุปชัดเจน
ผู้ว่า รฟม. ชี้แจงว่า แผนก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ระยะทาง 500 กิโลเมตร กำหนดสร้างแล้วเสร็จในปี 2572 จำนวน 7 เส้นทาง 14 เส้นทาง ในปัจจุบัน ระยะทางรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ 43 กิโลเมตร รองรับเดินทางของประชาชน 360,000 คน-เที่ยวต่อวัน คาดว่าในปี 2572 ระยะทางก่อสร้างรถไฟฟ้าถึง 215 กิโลเมตร รองรับการเดินทางชองประชาชน 2.74 ล้านคน-เที่ยวต่อวัน
ซึ่งประเด็นนี้รองนายกฯ สมคิด แนะนำว่า แผนก่อสร้างรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ เพียงพอแล้ว หากเส้นทางใดก่อสร้างได้คืบหน้าไปมากแล้ว ควรขยับเส้นทางที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ เพื่อคืบระบบจราจรให้กับประชาชนได้สัญญาจรลดปัญหาจราจรติดขัดในเขตกรุงเทพฯ และควรขยายการลงทุนไปยังจังหวัดหัวเมืองใหญ่ เพราะขณะนี้เมืองได้เติบโตมีปัญหาจราจรติดขัด
ในส่วนของ ปตท. รองนายกรัฐมนตรี เสนอให้ช่วยเหลือด้านสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะการปรับปรุงสถานีบริการน้ำมัน เพื่อเป็นจุดส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดสำคัญ ในพื้นที่มีศักยภาพ การร่วมลงนามกับกรมสงเสริมวิชาการเกษตร ร่วมผลิตปุ๋ย เพื่อลดต้นทุนให้กับเกษตรกร เพราะขณะนี้ต้นทุนปุ๋ยสูงถึงร้อยละ 30 ของต้นทุนทั้งหมด เร่งรัดการก่อสร้างห้องเย็นขนาดใหญ่ในภาคตะวันออก ด้วยการนำความเย็นจากโรงกลั่นมาผลิตห้องเย็น ช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนผลไม้ และภาคใต้
ด้าน น.ส.อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคม ชี้แจงว่า ทีโอทีระบุว่า หลังจากรัฐบาลส่งเสริมโครงการอินเทอร์เน็ตประชารัฐ ได้ทำให้ค่าบริการลดลงร้อยละ 65 ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา และยังทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมากขึ้น ทีโอทียังเดินหน้าติดตั้งไฟเบอร์ออฟติกความเร็วสูงเชื่อมโยงกับต่างประเทศ รองรับ One Belt One Road ของจีน จะทำให้เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
ขณะที่ กสท. โทรคมนาคม ได้กำหนดให้บริการฟรีไวไฟ รองรับการใช้บริการของประชาชนและนักท่องเที่ยว 4 หมื่นจุดในย่านชุมชนทั่วประเทศ การติดตั้งโครงข่าย IOT ต้องแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 62 รองรับบริการส่งข้อมูลของภาคเอกชน การเดินหน้าพัฒนาดิจิตอลปาร์ค สร้างแรงงานคุณภาพ 25,000 ตำแหน่ง รองรับให้บริการเศรษฐกิจดิจอตอลในเขตอีอีซี
โดยนายสมคิด ย้ำว่าอินเทอร์เน็ตหมู่บ้านยังไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่ รัฐบาลต้องการ ความต้องการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หลายฝ่ายต้องการสูงมาก ต้องดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน เพราะอนาคตต้องการร่วมมือหลายฝ่ายมาช่วยเปลี่ยนผ่าน เพื่อพัฒนาให้เร็วที่สุด เพราะในอีก 4 ปี ข้างหน้า ต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อปรับตัวให้ทันสถานการณ์
ในส่วนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ธ.ก.ส. ชี้แจงที่ประชุมว่า การลงทะเบียนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 11.45 ล้านราย ธ.ก.ส. รับผิดชอบดูแล 7.7 ล้านราย มีจำนวน 2.7 ล้านราย เข้าร่วมการพัฒนาฝึกอบรมอาชีพ และทำให้ผู้มีรายได้น้อยพ้นจากเส้นความยากจน 8.8 แสนคน นับว่ามีสัดส่วนถึงร้อยละ 51 สำหรับเอสเอ็มอีดีแบงก์ ยังมุ่งเน้นสร้างโอากาสให้กับเอสเอ็มอีคนตัวเล็ก หลังจากในช่วงปี 52-57 ปล่อยสินเชื่อเฉลี่ย 3 ล้านบาท ได้ลดลงเหลือ 1.7 ล้านบาทต่อราย เน้นการให้ความรู้คู่กับการเติมทุน การทำบัญชีการเงินบัญชีเดียว 24,000 ราย
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบนโยบายว่า หลายพรรคการเมืองเสนอนโยบายหลากหลายด้าน เหมือนกับว่ารัฐบาลไม่ได้ออกมาตรการอะไรเลย แต่ที่จริงแล้วหลายมาตรการหลายโครงการออกมาเยอะมาก ผ่านหลายหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ อย่างเช่น โครงการบ้านล้านหลัง โดยรัฐบาลพร้อมอุดหนุนความเสี่ยง เพื่อให้ชาวบ้านรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัย
การให้ ธ.ก.ส.ดูแลเกษตรกร ออมสินดูแลชาวบ้าน ร้านค้ารายย่อย และเอสเอ็มอีดีแบงก์ ช่วยดูแลเงินทุนให้ผู้ประกอบการ เข้าให้ถึงแหล่งทุนมากขึ้น หากให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อคงลำบาก การพักหนี้เพื่อให้ปฏิรูปภาคเกษตรไม่ใช่พักหนี้เพื่อให้เกษตรกรเสียวินัยการเงิน
การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้ประสานกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้ร้านโชห่วยขายสินค้าจำเป็นในชุมชน 4-5 หมื่นราย ฟื้นตัวได้จากเดิมใกล้ปิดตัวเพราะเจอกับโมเดิร์นเทรด ขณะนี้เริ่มดีขึ้น วางระบบออนไลน์ลูกหลานมาช่วยพัฒนาร้าน นับเป็นสิ่งที่ได้ช่วยเหลือชุมชน โดยแบงก์รัฐพร้อมเข้าไปเติมทุนให้กับร้านโชห่วย และการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ
กระทรวงกาคลังยืนยันว่า ทุกโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ต้องมีผลตอบแทนกับส่วนรวมชัดเจน และรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ไม่มีมั่วนิ่ม จึงกำหนดให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีไม่เกินร้อยละ 60