“สมคิด” เตือน “บางพรรค” ซ้ายก็ไม่เอา ขวาก็ไม่เอา อยากเป็นนายกฯเอง ระวังพูดไปแล้วผลออกมาจะต่ำร้อย ย้ำหานโยบายมาหาเสียงดีกว่า ฝากรัฐวิสาหกิจต้องเข้มแข็ง เป็นเสาหลักให้กับบ้านเมือง
วันที่ 13 มีนาคม 2562 – ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการสัมมนาผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ (SOE CEO Forum) ครั้งที่ 3 โดยกล่าวว่า 4 ปีที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจหลายแห่งได้ปรับตัวดีขึ้นมาก ทุกฝ่ายมีความตั้งใจและมองเห็นถึงอนาคตว่าต้องปรับตัวอย่างไร ประเทศไทยไม่เหมือนอเมริกาที่เอกชนนำ แต่สำหรับไทยรัฐวิสาหกิจสำคัญที่สุดในการช่วยขับเคลื่อนประเทศ เห็นได้จากในปีแรกที่เข้ามาช่วยบริหารเศรษฐกิจ สถานการณ์ในขณะนั้นย่ำแย่ แต่ก็ได้รับความร่วมมือจากรัฐวิสาหกิจทุกภาคส่วนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ในรอบนี้มีจำนวนกิจกรรมของรัฐบาลมากกว่าก่อนหน้านี้เทียบกันไม่ได้เลย ก่อนหน้านี้การบริหารเป็นแบบประชาธิปไตย เวลาบริหารรัฐวิสาหกิจก็ถูกแยกย่อยไปตามพรรคต่างๆ ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่สำหรับรัฐบาลนี้ครั้นบอกว่าต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ แผนงานก็มากันเป็นแผง ถ้าไม่มีรัฐวิสาหกิจ ก็ไม่มีวันนี้
ดร.สมคิดบอกว่าข้างหน้ายังมีความท้าทายมาก จุดอ่อนของประเทศไทยมีอยู่มาก ทั้งในแง่ของความเหลื่อมล้ำ ความเสียเปรียบในแง่ของการแข่งขัน เราจะอยู่อย่างเดิมไม่ได้แล้ว รัฐวิสาหกิจทั้งรายเล็กและรายใหญ่ต้องปรับตัวเหมือนกันหมด หน้าที่ของรัฐบาลคือต้องอำนวยความสะดวก
ดร.สมคิดกล่าวว่า “ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เราทำงานภายใต้ข้อจำกัดมากมาย เมื่อมาถึงจุดนี้ได้ต้องให้กำลังใจกัน ผลงานต่างๆ ตั้งแต่การลดความเหลื่อมล้ำ บ้านล้านหลัง การดูแลเกษตรกร การดูแลคนชราก็เริ่มจากเรา มิติการพัฒนาเชิงการแข่งขันด้านเทคโนโลยี เช่น ดิจิทัล สตาร์ทอัพ การลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ อีอีซี รถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ สิ่งเหล่านี้ทำให้ต่างชาติมองว่าไทยมีการพัฒนา ทุกวันนี้ภูมิรัฐศาสตร์เอื้อให้ไทยเป็นศูนย์กลาง สร้างดุลอำนาจให้กับผู้นำในประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ แต่เราจำเป็นต้องสร้างประเทศให้เข้มแข็งเพียงพอเพื่อให้เราโดดเด่น ปีนี้ไทยเป็นประธานอาเซียน ต้องใช้โอกาสนี้เป็นจุดแข็ง เราต้องเชื่อมโยงจีน-ฮ่องกงให้ได้จะทำให้เราไม่แพ้ชาติอื่น”
ดร.สมคิดกล่าวว่ามีหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหลายแห่งที่ต้องช่วยกันกระทุ้งให้มากกว่านี้ เช่นเอสเอ็มอีดีแบงก์ ต้องช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้ได้มากกว่านี้ หรือแม้กระทั่งกฟผ. ต้องทำหน้าที่ช่วยชาวบ้าน เพราะเป็นองค์กรที่มีวิศวกรมากที่สุดควรที่เป็นหน่วยงานในการสร้างสตาร์ทอัพ ไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องทำในประเทศอย่างเดียว หน่วยงานรัฐวิสาหกิจอื่นก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นประปา ทีโอที นอกจากนี้เห็นว่ายังมีงานอีกมากที่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจยังไม่ทำและจะส่งผลในอนาคตอันใกล้นี้คือเรื่องของการสะสม Big Data เพราะอีก 3-4 ปี AI มาแน่นอน
นอกจากนี้ดร.สมคิดยังพูดถึงปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำว่า “เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน มีหัวหน้าพรรคบางพรรคบอกว่าไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี ดูจะเป็นการพูดเร็วไป ประเด็นที่น่ากังวลคือรัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนขึ้นมาเพื่อเป็นรัฐบาลผสม โดยมีพรรคแกนหลักไม่กี่พรรค ซ้ายไม่เอา ขวาไม่เอา ต้องมีผมคนเดียว สิ่งที่ควรทำคือไปคิดนโยบายมา เรื่องบางเรื่องในช่วงเลือกตั้งยังเป็นเรื่องไม่แน่นอน ทำให้ต่างชาติชะลอการลงทุน เรื่องอย่างนี้ถ้าพูดน้อยประเทศชาติจะได้ประโยชน์ พูดมากจะไม่ได้ประโยชน์ ถึงตอนนั้นถ้าได้ต่ำร้อยจะเดือดร้อน” พร้อมกับกล่าวต่อว่า
“เรื่องต่อมาบอกว่าจะไม่สนับสนุนนายกฯประยุทธ์เพราะเป็นการสืบทอดอำนาจ การเป็นนายกฯคสช.ก็เป็นการเดินไปสู่โรดแม็บของการเลือกตั้ง และพร้อมเป็นนอมิมีของพรรคหนึ่ง ครม.ก็ยังไม่ตั้ง ถ้าจะพูดถึงการสืบทอดอำนาจก็เพราะต้องการมาทำการบ้านต่อให้เสร็จ สืบทอดเพื่อทำบ้านเมืองให้ดีขึ้น ที่พูดมานั้นก็เคยเห็นผลงานกันมาแล้ว ซ้ายไม่เอา ขวาไม่เอา ต้องผมเป็นนายกฯ อย่าพูด”
สุดท้าย ดร.สมคิดกำชับให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจต้องไม่ไขลาน เนื่องจากสถานการณ์โลกก็ไม่ดี เอกชนนักลงทุนต่างๆ ก็ขอดูก่อน รัฐวิสาหกิจจึงเป็นกำลังที่เหลืออยู่ ทุกโครงการต้องเดินหน้า เพื่อให้งบประมาณได้กระจายออกไป เศรษฐกิจจะได้พยุงตัวได้ ถ้าหากรัฐบาลชุดนี้ไปแล้ว รัฐวิสาหกิจต้องสืบทอดเจตนารมณ์ให้เข้มแข็ง นักการเมืองดีก็มี นักการเมืองไม่ดีก็มี รัฐวิสาหกิจต้องเป็นเสาหลักให้กับบ้านเมือง ต้องกล้าที่จะทำ ทำงานให้หนัก บ้านเมืองจึงจะเจริญ หลัง 24 ชัดเจน เราก็จะเห็นทางสว่างข้างหน้า แต่ถ้าหลังเลือกตั้งยังขมุกขมัวก็ต้องช่วยกัน