ศาลอ่านคำพิพากษายกฟ้อง “สนธิ” พร้อมอีก 20 แกนนำพันธมิตรฯ ปมบุกล้อมรัฐสภา ชี้ชุมนุมตามกฎหมาย แต่โต้ตอบเจ้าหน้าที่เพราะถูกกระทำก่อน
วันที่ 4 มีนาคม 2562 – ศาลอาญาอ่านคำพิพากษา คดีอัยการเป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) พร้อมด้วยอดีตแกนนำพธม.-แนวร่วมรวม21คน เป็นจำเลยที่1-21ในความผิด 5 ข้อหา ฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหนังสือหรือวิธีการอื่นใดอันมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญหรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริตเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาลโดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยผู้กระทำมีอาวุธและเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิกมั่วสุม, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายเสรีภาพชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่นหรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้นไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้นโดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย”อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา116, 215, 216, 309 และ310
ทั้งนี้ จำเลยทั้ง 21 คน พาผู้ชุมนุมปักหลักภายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งตั้งเวทีปราศรัยและได้ยุยงปลุกปั่นให้กลุ่มพันธมิตรฯทั้งประเทศ ไปรวมตัวปิดล้อมรัฐสภาไม่ให้ส.ส.และส.ว.และคณะรัฐมนตรี(ครม.)เข้าร่วมประชุมสภา โดยวันที่7ต.ค.2551กลางวัน จำเลยกับพวกใช้รถยนต์บรรทุก 6 ล้อติดเครื่องขยายเสียงเคลื่อน พร้อมนำลวดหนามชนิดหีบเพลงและแผงกั้นเหล็กยางรถยนต์ผ่านไปลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อขวางบริเวณรอบรัฐสภาทำให้ประชาชนไม่สามารถผ่านไปได้ และปราศรัยปลุกระดมให้ล้อมรัฐสภา เป็นเหตุเหตุให้ส.ส.และสว.บางส่วนเดินทางเข้าไปประชุมสภาไม่ได้ และจำเลยกับพวกยังร่วมกันข่มขืนใจนายสุริยา ปันจอร์ ส.ว.สตูล, นายมณฑล ไกรวัตนุสรณ์ ส.ส.สมุทรสาครพรรคเพื่อไทย, นายปัญญา ศรีปัญญา ส.ส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย และข้าราชการฝ่ายการเมืองหลายคนโดยไล่ให้กลับบ้าน และขู่ให้กลัวว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และยังมีการโห่ร้องด่าทอใช้หนังสติ๊ก อาวุธปืนยิง มีดฟันใ ช้ปลายธงทำด้วยเหล็กปลายแหลมแทงเจ้าหน้าที่รับบาดเจ็บสาหัส1คนแถมยังมีการนำโซ่ไปล็อกกุญแจทางเข้า–ออกสภาทุกด้าน พร้อมประกาศขู่ว่าหากไม่ยุบสภาในเวลา 18.00 น. จะจับตัวประธานสภา และประธานวุฒิสภา รวมทั้งสมาชิกทั้งหมด ซึ่งสมาชิกรัฐสภาบางส่วนได้ปีนกำแพงหนีออกทางด้านพระที่นั่งวิมานเมฆขณะที่เจ้าหน้าที่หลายคนถูกขังอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง
ต่อมาในเวลากลางคืน จำเลยกับพวกยังได้ปราศรัยยุยงให้กลุ่มพันธมิตรฯ จำนวนหลายพันคน โดยมีอาวุธมีด ปืน ไม้กระบองธง หนังสติ๊ก เป็นต้น คลื่อนไปหน้าอาคารรัฐสภา และปิดล้อมทางเข้าออก และได้นำน้ำมันราดบนถนนหน้ารัฐสภา และขู่ว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายส.ส.และส.ว. รวมทั้งใช้รถกระบะขับรถพุ่งไล่ชนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ได้รับบาดเจ็บหลายราย ซึ่งอัยการได้แยกฟ้องจำเลยต่อศาลอาญาไปแล้วในชั้นสอบสวน จำเลยทั้ง5ให้การปฏิเสธ โดยโจทก์ได้ขอให้ศาลพิพากษานับโทษนายสนธิจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีหมิ่นประมาท 4 สำนวน และพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์พ.ศ.2535อีก1สำนวนด้วย
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่นำสืบของคู่ความทั้งสองแล้วเห็นว่า การที่แกนนำปราศรัยให้ประชาชนมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของนายทักษิณ ชินวัตร เป็นการปราศรัยให้ความรู้ต่อประชาชนในการตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาล โดยมีการตั้งข้อสังเกตุถึงการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช ที่มีการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้ประโยชน์ในเรื่องที่ถูกคตส.ตรวจสอบเรื่องทุจริต และกรณีที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรครวมถึงคดีที่ทำให้กัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก
อีกทั้ง การชุมนุมของจำเลยทั้ง 21 คน เป็นการชุมแสดงสัญลักษณ์ มีการปราศรัยที่สมเหตุผล ห้ามปรามไม่ให้ก่อความรุนแรง ถือเป็นการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มาตรา 63 ได้รองรับไว้ และแม้จะมีการกีดขวางกระทบการจราจรไปบ้าง แต่ก็เป็นปกติของการชุมนุม จึงไม่ปรากฎว่ามีความรุนแรงหรือมีผู้ใดฝ่าฝืนทำให้ทรัพย์สินเสียหาย แต่ความวุ่นวายในการชุมนุมในช่วงเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เริ่มจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังยิงแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมเปิดทางให้นายสมชายเข้าไปแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยพลันด่วนทำให้ผู้ชุมนุมซึ่งไม่ทันตั้งตัวและได้รับบาดเจ็บความเสียหาย ไม่สามารถระงับอารมณ์ขว้างปาขวดน้ำสิ่งของโต้ตอบ กรณีเป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากการถูกละเมิดสิทธิไม่ใช่ว่าการชุมนุมที่ผ่านมาของกลุ่มจำเลยก่อนหน้านั้นจะไม่สงบ
นอกจากนี้ เหตุการอื่นตามฟ้องของอัยการก็ไม่ปรากฎว่ามีแกนนำไปอยู่บริเวณที่เกิดเหตุที่จะเกี่ยวข้อง และเป็นผลต่อเนื่องจากการที่ผู้ชุมนุมถูกสลายการชุมนุมเมื่อช่วงเช้าวันวันที่ 7 ตุลาคม จากแนวทางการนำสืบไม่พบว่ามีจำเลยทั้ง 21 คนกระทำความผิดตามฟ้องพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักมากพอพิพากษายกฟ้อง
