พปชร.ประเดิมปราศัยใหญ่ ชัยนาท ชูนโยบายไม่ขายฝัน ทำได้จริง

พปชร.ประเดิมปราศัยใหญ่ ชัยนาท ชูนโยบายไม่ขายฝัน ทำได้จริง


นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นำทัพผูู้บริหารพรรค อาทินายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง, นายอนุชา นาคาศัย ประธานยุทธศาสตร์ภาคกลางและผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 จังหวัดชัยนาท, นายอิทธิพล คุณปลื้ม กรรมการบริหารพรรค นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์, และนายมณเฑียร สงฆ์ประชา ผู้สมัคร ส.ส. เขต 2 จังหวัดชัยนาท ร่วมเวทีปราศรัยใหญ่ที่สนามกีฬากลางจังหวัดชัยนาท (เขาพลอง) โดยมีประชาชนร่วมฟังปราศรัยเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสถานที่แรกในการเริ่มแคมเปญ ’30 วันคาราวานสร้างชาติกับพลังประชารัฐ’

 

นายอุตตม กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นพลังที่มาจากคนทุกภาคส่วนมาร่วมอาสาทำงานให้กับประเทศชาติ อีกประมาณ 31 วันจะเป็นการเลือกตั้ง ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง พี่น้องประชาชนจะชี้ชะตาประเทศไทยว่าจะเดินหน้าไปทางไหน จะอยู่กับของเดิมๆ หรือจะเดินไปในเส้นทางใหม่ พรรค พปชร. ขอโอกาสว่าแม้จะเป็นพรรคใหม่ แต่แตกต่างจากพรรคอื่นๆ พรรคมีคนทำงานจริงจากหลายประสบการณ์ เชื่อว่านโยบายจะโดนใจพี่น้องประชาชน และมีผู้นำที่พวกตนพิจารณาแล้วว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ก่อนหน้านี้ประเทศชาติมีความวุ่นวาย แต่ตอนนี้มีความสงบสุขแล้ว และผู้นำที่จะรักษาความสงบสุขต่อไปได้ และนำพาประเทศไปสู่ความเจริญได้อย่างทั่วถึงและครอบคลุม นั่นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าท่าน

 

นายอุตตม ยังกล่าวอีกว่า วันนี้ประเทศไทยปัญหาสะสมเยอะ โดยเฉพาะความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ซึ่งพรรคขอเสนอตัวมาแก้ปัญหาเหล่านี้ และสิ่งที่สองคือทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี เพื่ออนาคตที่สดใสและมีความยั่งยืน พร้อมทั้งยืนยันว่าพรรค ‘ทำได้จริง ทำได้ทันที และแก้ไขได้ตรงจุด’ โดยนายอุตตม ระบุว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำต้องแก้ที่เศรษฐกิจซึ่งรากฐานของคนไทยคือเกษตรกรรม การแก้ไขคือเพิ่มกำลังให้ฐานราก เริ่มจากสวัสดิการประชารัฐดูแลลดภาระความเป็นอยู่ เช่น

1.เพิ่มบัตรประชารัฐให้ทั่วถึงจาก 14 ล้านคน เพิ่มอีก 4 ล้านคน และเพิ่มเงินเพิ่มสิทธิ์ พร้อมสัญญาว่าทำได้ทันทีหลังเลือกตั้ง, เพิ่มเบี้ยเลี้ยง อสม.

2.คือการแก้ไขหนี้นอกระบบ พักหนี้กองทุนหมู่บ้าน 3 ปี พร้อมทั้งฟื้นฟูระหว่างการพักหนี้ เติมทุนให้กองทุนหมู่บ้าน

3.สวัสดิการประชารัฐ ได้แก่ มารดาประชารัฐ ดูแลแม่ตั้งแต่ตั้งครรภ์ 3,000 บาทต่อเดือน ค่าคลอด 10,000 บาท และดูแลทารกต่อเนื่อง 6 ปี เดือนละ 2,000 บาท ถือเป็นการใช้เงินลงทุนเพื่อลูกหลานของคนไทย เฉลี่ย 26,000 บาทต่อคนต่อปี รวม 180,000 บาทต่อคน และนโยบายเปลี่ยนโฉนดที่ดินจาก สปก. เป็น สปก. 4.0 เป็นต้น

4.เศรษฐกิจประชารัฐทำให้เศรษฐกิจระดับชุมชนเข้มแข็ง เกษตรยั่งยืน มีการดูแลตั้งแต่ต้นทางคือการผลิตจนถึงการตลาด ลดความเสี่ยงให้กับเกษตรกร พร้อมทั้งกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ สร้าง 30 เมืองน่าอยู่ในประเทศไทย เมื่อเกิดเมืองใหม่ก็จะเกิดการซื้อขายจากระดับรากหญ้า รวมถึงการคมนาคมขนคนและสินค้าระหว่างเมืองหลักและเมืองรอง

5.สร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชน ชุมชน

 

นายอุตตม กล่าวย้ำว่า วันนี้หมดเวลาแล้วที่จะเดินในทางเดิมๆ ลองผิดลองถูก ขายฝันและเชื่อในฝัน แต่พรรคมีแนวทางที่จะทำให้ประเทศก้าวหน้าและประชาชนมีความสุขอย่างแท้จริง

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ถ้าชาติหน้าตนเลือกเกิดได้จะขอเลือกเกิดเป็นลูกเขยคนชัยนาท เพราะไม่เคยเห็นจังหวัดไหนมาเยอะและพร้อมเพรียงกันขนาดนี้ พรรคพลังประชารัฐคัดบุคลากรที่ดีที่สุดให้ชาวชัยนาท และสัญญาว่าจะทำให้ข้าวราคา 10,000 บาทต่อตัน พร้อมทั้งขอคะแนนจากชาวชัยนาทให้ไปบอกลูกหลานให้กาเยอะๆ เพราะถ้ากาเยอะๆจะแถม ‘ลุงตู่’ ให้อีกหนึ่งคนเป็นนายกรัฐมนตรี ชัยนาทแปลว่าเสียงบรรลือแห่งชัยชนะ และพรรค พปชร. จะนำเสียงบรรลือแห่งชัยชนะกลับมา

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นทางสายกลางต่างจากพรรคอื่นๆ เพราะถ้าได้คะแนนเสียงข้างมากจะตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียว แต่ถ้าเสียงไม่พอจะสามารถร่วมกับพรรคอื่นๆเป็นส่วนใหญ่ได้ ที่ใครบอกว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เศรษฐกิจไม่ดี แต่ถ้าย้อนหลังไปปี 2553 บ้านเมืองมีแต่ม็อบมีแต่ความวุ่นวาย พล.อ.ประยุทธ์ จึงได้เข้ามา เพราะมีม็อบมาตลอด 5-6 ปี แต่เมื่อพอ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาเริ่มมีวาทกรรมของพรรคการเมืองอื่นว่า กระเป๋าตุง กระเป๋าแฟ่บ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว แต่ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวกว่า 40 ล้านคน เศรษฐกิจกำลังดีวันดีคืน ดังนั้นจึงอย่าไปเชื่อวาทกรรมของพรรคอื่น และพรรคพลังประชารัฐสามารถสานต่อนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ เช่น เงินเกี่ยวข้าว เกี่ยวปั๊บรับหมื่นบาทต่อตัน และตนยอมรับว่าตั้งแต่ตนทำการเมืองมานโยบายของพรรคพลังประชารัฐคือนโยบายที่ดีที่สุด พลังประชารัฐมีกองทุนเกษตรประชารัฐให้ประชาชนกู้ยืมเงินไปทำอาชีพ นโยบายโคบาลประชารัฐให้ประชาชนยืมวัวไปเลี้ยง

 

นายพุทธิพงษ์ ชี้แจงกรณีร่าง พ.ร.บ.ข้าว ให้กับประชาชนว่า ตอนนี้มาตรา 20 ที่ให้ขึ้นทะเบียนผู้ค้าและขึ้นทะเบียนพันธุ์ข้าว สนช. ยกเลิกไปแล้ว และก่อนหน้านี้นายอนุชาแสดงความเป็นห่วงและมาบอกกับตนว่าถ้าไม่พร้อมอย่าทำ และแสดงความเป็นห่วงชาวนา นอกจากนี้ยังกล่าวถึงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐว่า บางพรรคการเมืองบอกว่าสมัยเป็นรัฐบาลมีคนจนที่ได้รับบัตรประชารัฐน้อยกว่านี้ แต่พอตนย้อนกลับไปดูข้อมูลเก่าคือสำรวจไม่ครบ และบางพรรคที่เคยด่าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่พอหาเสียงกลับเพิ่มเงินเป็น 800 บาท พร้อมท้าให้พรรคเหล่านี้ประกาศยกเลิกบัตรประชารัฐกับประชาชน แต่ตนเห็นว่านโยบายนี้ดีจึงทำต่อ เพราะประชาชนต้องใช้เงินในการใช้ชีวิต พร้อมกล่าวอีกว่าทุกพรรคหาเสียงและสัญญากับประชาชนเหมือนกันหมด แต่ประชาชนต้องเลือกคนที่ทำได้จริง และตนเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นคนที่ทำได้จริง นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่าวันนี้เวลาปราศรัยน้อย แต่พรรคพลังประชารัฐรักษาเวลา ไม่เหมือนบางพรรคที่เกณฑ์กันมาหลายคนในเวทีดีเบต ด่าหัวหน้าพรรคตนและไม่รักษาเวลา

นายอนุชา กล่าวปิดท้ายว่า พรรคนี้กำลังจะเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ พร้อมชี้แจงกับประชาชนว่าทำไมตนกับนายสมศักดิ์ ย้ายจากพรรคไทยรักไทยมาอยู่พรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากคนชัยนาทไม่ต้องการแบ่งสีแบ่งฝ่าย ตนและนายสมศักดิ์เลือกคนไทยลูกหลานไทย ไม่ต้องการเห็นใครเอาประเทศมาเป็นตัวประกัน มาเข่นฆ่ากันเอง ไม่ต้องการเอาคนชัยนาทไปร่วมกันการชุมนุมให้บาดเจ็บล้มตาย ตลอดที่ผ่านมาตนไม่เคยอยู่พรรคใหญ่ เพราะเลือกที่จะอยู่ตรงที่ไม่มีความขัดแย้ง และ พล.อ.ประยุทธ์ จะทำให้บ้านเมืองสงบ

“หากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลครบ 4 ปี แล้วพี่น้องเกษตรกร ยังเดือดร้อนอยู่ ผมจะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต เพราะเมื่อมีโอกาสเข้ามาทำงานแล้วยังแก้ไขปัญหาของพี่น้องไม่ได้ ก็อย่าเป็นเสียดีกว่า” นายอนุชา กล่าว