“เอากับผมหรือเปล่า” มาร์ค พิตบูล ผู้ประกาศขอเป็นนายกฯ เมืองไทย

“เอากับผมหรือเปล่า” มาร์ค พิตบูล ผู้ประกาศขอเป็นนายกฯ เมืองไทย


นายณัชพล หรือฉายาที่รู้จักกันดีว่า “มาร์ค พิตบูล” บุคคลที่มักปรากฎเป็นข่าวในโลกออนไลน์อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะกับในทุกเหตุการณ์ที่คนในสังคมมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ณัชพล มักจะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงสิ่งที่เจ้าตัวอ้างว่าไม่ถูกต้องอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งในช่วงปลายปีที่ผ่านมา นายณัชพล ประกาศจะลงเล่นการเมือง และเข้าสังกัดพรรคไทยศรีวิไลย์ โดยการให้สัมภาษณ์ล่าสุดของเจ้าตัว ถึงกับประกาศผ่านรายการโทรทัศน์โดยไม่กลัวเสียหน้าว่า พร้อมจะเป็นนายกฯ รัฐมนตรี

“การทำงานเพื่อสังคมผมทำมานานแล้ว และมองดูสถานการณ์ของประเทศไทยมาโดยตลอด เห็นปัญหามานานมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีวาสนาว่าจะต้องมาเป็นนักการเมืองเพื่อแก้ปัญหา เพราะผมรังเกียจสังคมการเมืองในประเทศไทย การเมืองไทยมันไม่เหมาะกับคนไม่มีทุนรอน พรรคการเมืองก็มีเจ้าของกันหมด และมันเสียเวลาของผมมากหากจะไปเกลือกกลั้วกับอาจมแบบนี้ ไปเสียเวลาชีวิตบนถนนการเมือง

แต่เมื่อมีโอกาสมาเจอกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์อย่างพรรคไทยศรีวิไลน์ ที่เป็นพรรคของประชาชนอย่างแท้จริง และคลิ๊กกับแนวคิดของเรา เห็นว่าแนวคิดของเรามันไปต่อได้ ผมจึงเลือกเส้นทางนี้เพื่อแก้ไขปัญหา แต่แน่นอน ประชาชนต้องเอากับผมด้วย” นั่่นคือวลีของ ณัชพล ที่ดุเดือดเผ็ดมันตามสไตล์ของเจ้าตัว

สำทับต่อกับเหตุผลที่ชัดๆ ว่าทำไม “มาร์ค พิตบูล” ถึงอยากจะมาลงเล่นการเมือง คำตอบจากปากของเจ้าตัวคือ “อาสา” คำนี้เป็นสิ่งที่ณัชพลย้ำบ่อยครั้ง และขยายความด้วยว่า พรรคไทยศรีวิไลย์ถือเป็นพรรคของประชาชน และก่อเกิดขึ้นมาก็เพื่อประชาชน ทุกคนที่เข้ามาในพรรคล้วนแต่อาสาด้วยกันทั้งนั้น แต่พรรคจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ไม่ได้อยู่ที่ตัวคนในพรรค แต่คือประชาชนว่าจะเอาด้วยหรือไม่กับแนวคิดและนโยบายของพรรค
“เพราะผมไม่สน ผมสำเร็จมาเยอะแล้ว ประชาชนอยากสำเร็จก็ต้องมาเอาด้วยกับผม มาเดินไปด้วยกันกับแนวคิดของผม ผมอาสาเข้ามา เลิกได้เแล้วกับนิสัยคนไทยที่ขี้บ่น ผมว่าเป็นชาติเดียวในโลกนี้เลยมั้งที่เกิดอะไรขึ้นก็บ่นมันอย่างเดียว แต่ไม่คิดจะแก้ไขอะไร พอรัฐบาลจะแก้ไขอะไรให้ แต่ต้องเสียสละหน่อยนึงก็ไม่เอาแล้ว ประชาชนก็ต้องเปลี่ยน หลายอย่างในประเทศมันแก้ไขไม่ได้ส่วนหนึ่งก็มาจากประชาชนนี่แหล่ะ” ณัชพล ย้ำ ก่อนยกตัวอย่างนิสัยคนไทยขี้บ่นไว้อย่างน่าสนใจว่า อย่างเช่นปัญหารถติดแล้วบอกว่าเทวดายังแก้ไม่ได้ เทวดาจะมาแก้ได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นปัญหาของมนุษย์ มนุษย์ก็ต้องแก้กันเอง มันแก้ได้อยู่แล้วกับปัญหาจราจร แต่อยู่ที่ว่าคิดจะแก้กันจริงๆ หรือเปล่า

รองหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ผู้นี้ ที่เป็นหนึ่งในผู้ที่พรรคเห็นว่ามีคุณสมบัติพร้อมจะเป็นนายกฯ ขยายความอีกว่า หากพรรคการเมืองเอานโยบายมากาง ประชาชนคนทั่วไปก็ไม่มีใครมาสนใจหรอก เพราะเขาไม่รู้เรื่อง ฟังไม่เข้าใจ แต่นักการเมืองต้องเสนอตัวเข้ามา มาคุยกับเขาให้รู้เรื่องว่าปัญหาคืออะไร แก้กันอย่างไร มีส่วนร่วมตรงไหน มาเป็นแบบวิชาการใครเขาจะฟัง คนไทยไม่ฟังแน่ๆ

ณัชพล ประกาศนโยบายของตัวเองสำหรับงานการเมือง คือ 1.ปราบโกง 2.ปฏิรูปราชการ 3.สร้างงานสร้างอาชีพ 4.คืนความเป็นธรรมให้สังคม และ 5.ปฏิรูปการศึกษา รวมถึงยังมีอีก 2 ข้อย่อย คือ 1.พ่อค้ายา 2.ปล้น-ฆ่า-ข่มขืน = โทษประหารชีวิต
“นโยบาย 5+2 ของผม จำไว้ให้ดี แค่นี้แหล่ะ ไม่ต้องมากางนโยบายยาวเป็นพรืดอะไรหรอก คนไทยต้องการแค่นี้”

เมื่อถามย้ำว่า นโยบาย 5+2 จะทำได้อย่างไร มาร์ค พิตบูล หนุ่มผมยาว กล่าวสวนทันทีอย่างฉะฉานว่า ผมเปรียบประเทศไทยเป็นโอ่งน้ำ และน้ำที่อยู่ในโอ่งคือความสุขของประชาชน แต่ตอนนี้โอ่งมันรั่ว คนที่จะมาอุดรอยรั่วก็ดันถือกระบวยที่รั่วอีก อย่างนี้เมื่อไหร่น้ำมันจะเต็ม เมื่อไหร่คนไทยจะมีความสุข นักการเมืองที่ถือกระบวยมาก็มีแต่คำโม้ เรียนกันจบจากมหาวิทยาลัยเมืองนอกชั้นนำแต่มีแต่คำโม้ ทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าทำได้จริงผมไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ให้สัมภาษณ์กันหรอก เพราะทุกคนพูดกันแต่ปัญหา แต่ไม่มีใครทำให้มันสำเร็จได้เลย

“ต้นตอของปัญหาบ้านเมืองมันคือเรื่องเศรษฐกิจที่ล้มเหลว ล้มเหลวมาจากอะไร ก็มาจากการโกงกินไง โกงกันทั้งแผ่นดิน เลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านก็ยังโกง จะเข้าเรียนอนุบาลก็ยังโกง ปราบโกงได้เศรษฐกิจจะดี ที่ผมพูดเพราะบ้านเราใช้งบประมาณแผ่นดินปีละไม่น้อยกว่า 1 ล้านล้านบาท แต่ใช้จริงแค่ 7 แสนล้านบาท อีกกว่า 3 แสนล้านบาทมันโกงกินกัน ถ้าปราบได้ก็ได้เงินคืนกลับมาสร้างประโยชน์ได้อีกเยอะ ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นใครจะปราบโกงอย่างจริงจัง พูดแต่ปากแต่ไม่ทำกันจริง

แต่เศรษฐกิจจะดีมันไม่ได้วัดแค่ว่าตัวเลขจีดีพีมันโตแค่ไหน แต่มันวัดจากเงินในกระเป๋าของคนที่เพิ่มขึ้นต่างหาก แต่ไม่ใช่ให้เงินเพิ่มขึ้นโดยเอาเงินไปแจกชาวบ้าน อย่างนี้มันสิ้นคิดมาก เพราะเงินหมดก็จนเหมือนเดิมอีก ต้องมาสร้างงานสร้างอาชีพกัน แจกงานไม่ใช่แจกเงิน” ณัชพล ร่ายยาว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ “มาร์ค พิตบูล” ย้ำอยู่บ่อยครั้งคือประชาชนจะต้องเอาด้วย เพราะทุกวันนี้เพราะทุกวันนี้เป็นของนายทุน นักการเมืองก็ต้องทำเพื่อนายทุนซึ่งก็คือ “ธุรกิจการเมือง” แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ หากประชาชนจะแก้ก็ต้องมาเดินหน้ากับเขา และณัชพล สำทับอีกว่า คนไทยต้องเลิกแบเมือแล้วขอๆ อย่างเดียวได้แล้ว และต้องกลายร่างเป็น “ลูกเจี๊ยบ” ไม่ใช่ “ลูกนก” เพราะลูกเจี๊่ยบคุ้ยเขี่ยหากินเองได้ แต่ลูกนกต้องรอแม่นกมาป้อนอาหาร คนไทยต้องยืนได้เอง

“ผมไม่ได้อ้อนวอนประชาชนเพื่อขอคะแนนนะ ผมอาสามาทำงานให้ ถ้าเขาเลือกผมก็ไม่ใช่ว่าผมต้องไปเป็นหนี้บุญคุณ แต่ประชาชนกำลังเป็นหนี้บุญคุณผมที่ผมกำลังจะแก้ไขปัญหาให้ต่างหาก เพราะหากเลือกผมก็เท่ากับว่าประชาชนกำลังช่วยตัวเอง” ณัชพล กล่าว
ท้ายสุด เมื่อโดนคำถามว่า นโยบายของพรรคการเมืองไหน หรือแม้แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันเองก็ตามที ที่พรรคไทยศรีวิไลย์อยากจะสานต่อ มีบ้างหรือเปล่า คำตอบที่ไม่เคยพลาดความดุเดือด ของมาร์ค ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า

“มีเรื่องเดียวที่รัฐบาลนี่ทำได้ คือทำให้คนไทยรักกัน ไม่ตีกัน แต่เรื่องอื่นเฮงซวยหมด เพราะตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเราเสียเวลาไปหมดเลย รัฐบาลแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมยกเว้นเรื่องทำให้คนไทยรักกันดี”

ดูการสัมภาษณ์เต็มๆ ได้ที่