“ดี เสวต” ผู้รับพระเมตตาจาก เจ้าฟ้าแห่งสยาม

“ดี เสวต” ผู้รับพระเมตตาจาก เจ้าฟ้าแห่งสยาม

ชื่อ
“ดี เสวต (
Dy Saveth)” เธฮคนนี้อาจไม่เป็นที่คุ้นหูนักในโลกปัจจุบันนี้  แต่หากเอ่ยถึงอดีตภาพยนตร์กัมพูชาเรื่อง “งูเก็งก็อง”
ที่เข้ามาโกยรายได้แบบถล่มทลายในประเทศไทยเมื่อ 30 – 40 ปีที่แล้ว หลายคนคงร้องอ๋อจนถึงบางอ้อ  เพราะ “ดี เสวต”
คือดารานำฝ่ายหญิงจากภาพยนตร์เรื่องนี้

              จากภาพยนตร์เรื่อง
“งูเก็งก็อง” นี่เองที่ส่งผลให้คนไทยเริ่มรู้จักภาพยนตร์จากประเทศกัมพูชา และ “ดี
เสวต” มากขึ้นจนมีการสร้างภาพยนตร์ร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชาตามมาติด ๆ ในเรื่อง
“งูเก็งก็อง2” ซึ่งดีเสวต ประกบกับนักแสดงชื่อดังชาวไทยในสมัยนั้นอย่าง อรัญญา
(ศิระฉายา) นามวงศ์ ร่วมแสดง หรือเรื่อง “รักข้ามขอบฟ้า” ที่นำแสดงโดยสมบัติ
เมทะนี, อรัญญา นามวงศ์ และ ดี เสวต

              การแสดงที่สมบทบาทของ
ดี เสวต ทำให้ “เตียลิมกุน” ผู้กำกับที่ปลุกปั้นให้ภาพยนตร์ “งูเก็งก็อง”
มีชีวิตบนแผ่นฟิลม์
และเลือกเธอเป็นนักแสดงในหนังเกือบทุกเรื่องที่เขาสร้างจากจำนวนทั้งหมด 11 เรื่อง โดยกล่าวถึงเธอว่า
“ผมเลือกนักแสดงจากความเหมาะสมกับบทบาทและ ดี
เสวตมีความเหมาะสมที่จะเล่นหนังทุกเรื่องของผม”

              แม้ช่วงชีวิตหนึ่งของ
ดี เสวต  จะพลิกผันด้วยผลพวงแห่งสงครามล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดง  จากดาราชื่อดังที่มีคฤหาสน์ และมีเงินเก็บถึงหลายล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯต้องระหกระเหเร่ร่อนหนีภัยสงครามเข้ามาอาศัยอยู่เมืองไทย
(ชีวิตในช่วงยุคเขมรแดงของเธอถูกนำมาตีแผ่ในภาพยนตร์สารคดี
‘Golden Slumbers’ ) แต่ในปัจจุบันนี้เธอได้รับการยกย่องให้เป็น
“ศิลปินแห่งชาติของกัมพูชา” และได้รับฉายาว่า 
“เพชราแห่งวงการมายาเขมร” 
ซึ่งมีผลงานการแสดงที่เป็นที่ยอมรับในวงการภาพยนตร์โลก  

              ล่าสุดเธอได้รับรางวัลในสาขา
The Spirit of Asia Award จากเทศกาลภาพยนตร์ Tokyo
Film Festival 2014 ในบทของ Sothea แม่ของ Srey
จากภาพยนตร์เรื่อง The Last Reel และปัจจุบันเธอได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่ร่วมกันสร้างและไทย-กัมพูชา
เรื่อง “บองสรันโอน” ด้วย

              นอกจากบทบาทของดารานักแสดงแล้ว
เธอยังมีบทบาทเป็น 1 ในคณะทำงานร่วมกระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์กัมพูชา  ซึ่งมาศึกษาดูงานด้านการถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย
เพื่อนำความรู้ไปประกอบการดำเนินโครงการจัดทำโรงถ่ายภาพยนตร์
ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโครงการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาเมื่อปี
พ.ศ.2550อีกด้วย