ทั้งนโยบายกระตุ้นการเติบโตของภาคธุรกิจ
ภาคอุตสาหกรรมและนโยบายประชารัฐที่ลงถึงระดับฐานราก ทั้งหมดคือกุญแจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศ
ภายใต้ยุทธศาสตร์ของ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี”
ชื่อของ “ดร.สมคิด” โด่งดัง เป็นที่รู้จักในฐานะของ “แม่ทัพเศรษฐกิจ”
มาหลายยุคหลายสมัย และเรื่องราวส่วนตัวของดร.มีหลากหลายที่มาตามแต่ใครจะสืบค้นประวัติ
สำหรับในแบบฉบับ “THAIQUOTE” ดร.สมคิดเกิดเมื่อ 15 กรกฏาคม 2496 ตรงกับปีมะเส็ง
ซึ่งตามหลักโหราศาสตร์แล้วยกให้เป็น “มะเส็งธาตุไฟ” หรือ “งูไฟ”
ชาติกำเนิดเกิดในครอบครัวจีนค้าขาย
ที่อพยพมาจากอำเภอ “เฉิงไห่” หรือ “เท่งไฮ้” ในเมืองซัวเถา มลฑกลกวางตุ้ง
ประเทศจีน ด้วยความที่ “เฉิงไห่” (สำเนียงแมนดาริน) หรือ “เท่งไฮ้” (สำเนียงหมินใต้)
เป็นเมืองปากแม่น้ำสองสายที่ไหลออกสู่ทะเล
จึงมักจะต้องประสบกับภัยพิบัติสารพัด โดยเฉพาะกับลมพายุที่พัดจากมหาสมุทรแปซิฟิกที่เป็นสาเหตุของทั้งวาตภัยและอุทกภัย
คนในแถบอำเภอ “เฉิงไห่” หรือ “เท่งไฮ้” จึงต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากมาโดยตลอด
จากจุดดังกล่าวจึงกลายเป็นจุดเด่นแห่งสายเลือดที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ในด้านการค้า
การพาณิชย์
ดร.สมคิด
เกิดในย่านเยาวราชแถบวัดสัมพันธ์วงศ์ บิดาคือ “คุณพ่อซ้ง” และ มารดา “คุณแม่เอ็ง” มีพี่น้อง
10 คน ชื่อเดิมของ “ดร.สมคิด” คือ “หั่งกวง แซ่จัง” หรือ “จังหั่งกวง” ในสำเนียงจีน ตรงชาติกำเนิดของดร.สมคิด
ที่หลาย ๆ สื่อเคยระบุไว้ว่าเป็นจีนเชื้อสายฮกเกี้ยนแต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า
เชื้อสายที่แท้จริงของดร.สมคิด ซึ่งมาจากอำเภอเฉิงไห่ หรือ เท่งไฮ้ ในซัวเถาน่าจะเป็นจีนเชื้อสายแต๊จิ๋วมากกว่า
รวมถึงชื่อและสำเนียงที่ใช้เรียกคนในครอบครัว ดร.สมคิดเอง มีความเป็น “แต้จิ๋ว”
มากกว่า “ฮกเกี้ยน” ครอบครัวของดร.สมคิด ประกอบธุรกิจค้าขายมาแต่เดิม
และนั่นคือเบ้าหลอมแรกของดร.สมคิด ที่ต้องทำงานอย่างหนักตั้งแต่เด็ก เนื่องจากสภาพครอบครัวเป็นเพียงพ่อค้า
ซ้ำยังต้องเผชิญกับปัญหาทางด้านธุรกิจอย่างหนัก
แม้จะถือกำเนิดจากย่านเยาวราช
แต่ชีวิตวัยเยาว์ของดร.สมคิดใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในย่านสะพานเหลือง (หัวถนนบรรทัดทอง) ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งในย่านที่มีคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ที่นั่น เป็นจุดเริ่มต้นการศึกษาแห่งแรก ก่อนจะไปศึกษาต่อย่านวัดสัมพันธวงศ์บ้านเกิดในโรงเรียนเผยอิง
โรงเรียนไม่กี่แห่งที่ยังเปิดสอน “ภาษาจีน” ก่อนจะเลิกไปเพราะสถานการณ์ทางการเมือง จากโรงเรียนเผยอิง
กลับไปศึกษาต่อ ณ สามย่าน สะพานเหลือง อีกครั้งที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
และเข้าเรียนต่อที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จนจบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์การคลัง และเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ก่อนจะไปศึกษาต่อปริญญาโท MBA สาขาบริหารการเงิน ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จากนั้นบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปสอบชิงทุนศึกษาต่อจนจบระดับปริญญาเอก
สาขาบริหารธุรกิจ เน้นการจัดการด้านการตลาด ที่มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น
ประเทศสหรัฐอเมริกา
ด้วยความอดทนและความเพียรประกอบกับพรสวรรค์ในด้านการค้าธุรกิจ
ทำให้ดร.สมคิด ยืนบนเส้นทางการทำงานได้อย่างต่อเนื่องมาตลอด จากจุดเริ่มต้นทำงานในฐานะเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง,
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี,ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์,
กรรมการ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย, กรรมการ บริษัท
ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด(มหาชน),ที่ปรึกษา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย,
กรรมการในอนุกรรมการพิจารณารับและเพิกถอนหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ฯลฯ
ขณะที่บนเส้นทางการเมือง “ดร.สมคิด”เข้าสู่เส้นทางดังกล่าวในปี
2544 ด้วยการสังกัดพรรคไทยรักไทย และก้าวขึ้นเป็น “แม่ทัพเศรษฐกิจ” กับตำแหน่งรมว.คลัง และก้าวสู่ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีถึงสามครั้ง ในปี 2545 และ ปี 2547 และปี 2548 ก่อนจะพบกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงเวลาต่อมาดร.สมคิด
ควบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กระทั่งเกิดการรัฐประหารในปี 2549 แถมซ้ำร้ายคณะตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบพรรคไทยรักไทย
ทำให้ชื่อของดร.สมคิดถูกตัดสิทธิ์ไปด้วย
ด้วยความสามารถอันโดดเด่น
และในแต่ละช่วงเวลาของการรับตำแหน่งสำคัญ ๆ ที่ “ดร.สมคิด” ปฏิบัติงานด้วยความอดทน และไม่เป็นไปตามกระแสการเมือง ในรัฐบาลต่อ ๆ
มา “ดร.สมคิด”
ยังได้รับความไว้วางใจให้รับตำแหน่งสำคัญๆ ในรัฐบาลต่อ ๆ มา
และเข้าเล่นการเมืองเต็มตัวด้วยการเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง “พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา” ร่วมกับกลุ่มรวมใจไทยของนายประดิษฐ์
ภัทรประสิทธิ์ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ นายพิจิตต รัตตกุล
และกลุ่มชาติพัฒนาของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ โดยดร.สมคิดรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพรรค
ก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกครั้งในปี
2557 เมื่อ“ดร.สมคิด”ได้เข้ารับหน้าที่ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ซึ่งนำโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดูแลรับผิดชอบเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ
จนกระทั่งในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558
จึงได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และกลายมาเป็นแม่ทัพคุมเศรษฐกิจ
พร้อมๆ กับ นโยบายที่โดดเด่นเป็นรูปธรรม และกำลังจะประสบความสำเร็จผลิดอกออกผลในเร็ววันนี้
ที่มา : Thaiquote