In (train)’s Story

In (train)’s Story

ยอมรับว่าช่วงใกล้ปีใหม่ที่ใครต่อใครต่างจับจองหาเส้นทางกลับบ้านแบบนี้ ไม่ว่าจะทางเลือกไหนก็น่าจะแน่น รวมถึงรถไฟด้วย ที่แม้ขึ้นชื่อเรื่องความหวานเย็น สโลว์ไลฟ์ แต่คนมากมายก็ยังนิยมใช้อยู่ ใครได้ตั๋วรถไฟช่วงนี้ไปครองล่ะก็ ถ้าไม่วางแผนล่วงหน้ามาดี ก็ต้องยอดมนุษย์เท่านั้นล่ะน้องชาย

หากพูดถึงวิธีเดินทางสุดโปรด สำหรับคนไม่ค่อยรักการเดินทางอย่างผม คงต้องใช้เวลานึกอยู่นานสักหน่อย ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะครับ แต่ด้วยความน่ารำคาญของตัวเองล้วนๆ คือเป็นพวกขี้เมารถเมาเรือง่ายมาก อาการนี้เลยเป็นอุปสรรคทำให้การเที่ยวเซ็งลงราวยี่สิบเปอร์เซ็นต์บ่อยๆ กระนั้นก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีทริปประทับใจ

อย่างที่บอกว่าผมไม่ค่อยชอบนั่งรถ นั่งทีไรหลับทุกที ส่วนเครื่องบินก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเกินไปกว่าความจำเป็นยามเร่งด่วน แต่ที่จำได้ว่าชอบและเป็นการเดินทางชนิดเดียวที่ผมไม่เมา ไม่หลับเลยตลอดทางก็คือรถไฟนี่แหละครับ

ขณะที่เพื่อนบ่นเบื่อเพราะอุตส่าห์แพลนล่วงหน้าแต่ยังพลาดเป้า ทำให้ผมนึกถึงครั้งล่าสุดที่ได้นั่งรถไฟเมื่อสักปีสองปีที่แล้วขึ้นมา กับทริปฉุกเฉินกรุงเทพฯ-หัวหิน ที่จำได้แม่นว่าไม่มีจุดไหน ใกล้เคียงคำว่าวางแผนแม้แต่นิดเดียว

อันที่จริงกรุงเทพฯ-หัวหินเป็นทริปกลางๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลเกิน ระยะทางแค่ 229 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงก็ถึง เหมาะสำหรับมือใหม่หัดนั่งรถไฟเที่ยวเป็นอันมาก ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ ผมมารู้เอาทีหลังทั้งสิ้นครับ พูดง่ายๆ คืออีตอนตั้งใจว่าจะไปนั้น ไม่มีสาระข้อมูลใดๆ อยู่ในหัวสักนิด ส่วนที่บอกว่าน่าจดจำ ก็เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมตัดสินใจเร็วและง่ายมาก สำหรับการจะออกจากบ้านไปเที่ยวแบบไม่มีจุดหมาย ทั้งที่เวลาก็จำกัดแค่วันเดียว แค่รู้ว่าว่าง ไม่มีภารกิจ รู้สึกอยากนั่งนิ่งๆ อยากดูวิวแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ที่สำคัญต้องไม่ใช่การอยู่บ้านเฉยๆ

จู่ๆ วันนั้นผมดันนึกถึงรถไฟขึ้นมา คิดถึงสถานีหัวลำโพงในตำนาน เลยนึกหาปลายทางที่ชอบๆ วันเดียวแบบนี้ เอาวะ ทะเลละกัน งั้นต้องหัวหินสิ (นี่สินะที่เรียกว่าไปที่ชอบๆ) พอตกลงใจได้ หยิบมือถือมาเช็กตารางรถไฟเสร็จ ผมก็ถลันตัวออกจากบ้านทันที ไร้แผนเตรียมการล่วงหน้าทุกชนิด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระยะทางมันไกลแค่ไหน คิดแค่วันนี้กูจะนั่งรถไฟไปทะเลให้ได้!

ทั้งที่ดูเวลามาหน่อยแล้วว่ารถออกตอนเก้าโมงกว่าๆ แต่ผมก็ยังกระหืดกระหอบไปถึงหัวลำโพงเอาเกือบสิบโมง ได้ยินกิตติศัพท์ความช้าของรถไฟมานาน ไม่เคยนึกขอบคุณความดีเลย์ของมันเท่านี้เลย (นิสัย) ขบวนนั้นเป็นรถไฟฟรีครับ แสดงแค่บัตรประชาชนก็นั่งได้ ส่วนที่นั่งค่อยไปตบตีแย่งชิงเอาทีหลัง บังเอิญช่วงเช้าคนยังน้อย เลยสบาย

ณ เวลานั้นผมไม่มีภาพในใจเลยว่าระหว่างทางจะเป็นอย่างไรกับรถไฟฟรีเนี่ย จะเจอบรรยากาศแบบไหน เรียกว่ามาพร้อมกบาลโล่งๆ ไม่ได้คิดถึงสถานที่เที่ยวปลายทางด้วยซ้ำ แต่ว่านะ ถ้าโชคดี มีเวลาเหลือ คงได้เอาขาจุ่มทะเลสักหน่อยค่อยกลับบ้านมั้งนะ ทำนองนี้

ไม่มีใครสนใจใครครับ นั่งดูสองข้างทางกันไป ช่วงชานเมืองก็เป็นชุมชนริมทางรถไฟ เหมือนได้แอบมาส่องดูหลังบ้านคนอื่น ได้เห็นมุมที่ปกติไม่มีโอกาสได้เห็นเยอะแยะ ผ่านเขตก่อสร้าง พักใหญ่ๆ เลยกว่าจะเจอท้องทุ่งไร่นา อากาศก็ดีสมกับที่จะไปทะเล แดดแบบสะบัดผ้าสามทีน่าจะแห้ง แขนเขินคงไหม้สิ้น แต่เรานั่งอยู่ในตู้รถไฟ คิดสภาพ แม้มีลมตีหน้าตลอดเวลาก็ยังแอบรู้สึกร้อนเป็นระยะ จะว่าไป เรานี่คล้ายๆ หมูที่อยู่ในตู้อบเลยนะครับ แถมเป็นตู้เหล็กกลางแดดเที่ยงด้วย

เป็นครั้งแรกที่ผมไม่รู้สึกสักนิดว่าอยากหลับ ตลอดทางที่นั่งมองออกไปไม่มีคำว่าเบื่อ อาจเป็นเพราะสองข้างทางมีวิถีชีวิตเปลี่ยนไปทุกนาที ถ้าก้มหน้าหรือหันไปทางอื่นเดี๋ยวเดียว เราอาจพลาดวิวเจ๋งๆ ไปเลยก็ได้ จึงตั้งใจนั่งดูมันอยู่อย่างนั้น มีคนแปลกหน้าสลับกันขึ้นมานั่งใกล้ๆ เสมอเมื่อรถจอดที่สถานี เพื่อนร่วมทางก็หมุนเวียนไปเรื่อยๆ

หลายคนบอกว่ารถไฟชั้นสาม รถไฟฟรีไม่สะดวกสบาย มันก็ไม่สบายจริงนั่นแหละครับ อาจมีขาดๆ เกินๆ ไปบ้าง แต่ก็ไม่เลวร้ายจนต้องร้องกรี๊ด ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตอยู่กับการคาดหวังและมาตรฐานที่แข็งแรงไปเสียทุกเรื่องจนลืมว่าบางสถานที่ บางแห่ง เสน่ห์ของมันก็คือต้องเป็นแบบนั้นเอง (อืม เซนอะไรขึ้นมาล่ะเนี่ย)

อีกหนึ่งความรื่นรมย์คือของกินบนรถไฟครับ สิริรวมที่ผ่านลงท้องไปในวันนั้นมีผัดกะเพราไก่ไข่ดาวยี่สิบบาท ข้าวเหนียวหมูย่างยี่สิบ น้ำขวดละสิบบาท สับปะรดยี่สิบ ก๋วยเตี๋ยวแห้งที่ซื้อกินตลอดทางประมาณสี่หน หนละสิบบาท กล่าวคือมีลูกชิ้นห่อละสองเม็ดเล็กๆ ปรุงรสพริกน้ำตาลน้ำปลามาเสร็จ และอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน กินแบบมั่นใจว่าไส้พุงกูช่างแกร่งมาก จะไม่ระเบิดคอห่านในวันถัดไปแน่นอน

พอบ่ายโมงครึ่งก็มาถึงสถานีหัวหิน สถานีที่ได้ชื่อว่าสวยสุดในประเทศ ไปค้นดูในกูเกิลเอานะครับ ซึ่งกว่าจะแทรกผู้คนลงมาได้นี่ทุลักทุเลมาก ลงมายืนตั้งหลักตากลมสักพัก พร้อมมโนเอาว่านี่มันลมทะเลสินะ โอโซนทะเลรออยู่ข้างนอกใช่ไหม รอก่อนนะ เดี๋ยวเจอกัน หันไปเจอป้ายสถานีรถไฟหัวหินเข้า ก็ล้วงโทรศัพท์ออกมา ปกติไม่ค่อยชอบถ่ายรูปป้ายสถานที่เท่าไร ตอนนั้นไม่รู้นึกยังไง อยากถ่ายไว้สักรูป อือ เหมือนจะรู้ว่าเดี๋ยวนั่นจะเป็นหลักฐานเดียวของการมาถึงหัวหินหนนี้

ผมไปยืนดูเที่ยวรถขากลับ ตั้งใจจะซื้อตั๋วไว้เลย เห็นมีเที่ยวสี่โมงครึ่ง เหลือบมองนาฬิกา สบาย นี่เพิ่งบ่ายโมงเอง

“ตั๋วกรุงเทพฯ เที่ยวสี่โมงครึ่งใบนึงครับ”
“เต็มค่ะ”
เต็มค่ะ … เต็มค่ะ … เต็มค่ะ … เต็มมมม … เสียงเอคโค่อยู่ในหู
“ท … ทุกชั้นเลยเหรอครับ”
“มีชั้นเดียวเนี่ยแหละค่ะ ฟรี” สีหน้าของเธอที่อยู่ในห้องขายตั๋วโดยสารยังเรียบเฉย วันนี้คงมีมนุษย์มายืนทำเสียงตะลึงชีวิตให้ฟังอย่างนี้หลายหนแล้วสินะ
“งี้ผมจะกลับยังไงล่ะ”
“รถตู้ก็มีนะคุณ หกโมง ทุ่มนึงก็มี”
ฉิบหาย … รถตู้ … ของชอบเลยสิเนี่ยรถตู้เนี่ย
“ไม่มีรถไฟเที่ยวต่อไปแล้วเหรอครับ”
“ไม่มี ไม่อีกทีก็กลับตอนนี้เลย ขบวนที่จอดนี่แหละ ตกลงยังไงคุณ รถจะออกละนะ”

ผมค่อยๆ หันไปมองขบวนรถที่เพิ่งลากถูสังขารลงมาเมื่อครู่ คือกูเพิ่งลงมาเหยียบพื้น ตูดยังไม่หายชาเลย ทะเลก็ยังไม่ได้แตะ ไม่สิ ยังไม่ได้ย่างขาออกจากสถานีด้วยซ้ำ จะกลับเลยเหรอ
แต่ถ้าพลาดรอบนี้ ก็เกาะรถตู้กลับเลยนะ จะดีเหรอ ไม่เอาน่า หนีรถมานั่งรถไฟ ยังต้องเจอรถตู้อีกงั้นเรอะ … ในหัวเกิดการทะเลาะกันชั่วขณะ กระทั่งสุดท้าย …
.
.
.
“เอาตั๋วกลับกรุงเทพฯ ใบนึงครับ”

T_T
.
.
.
สรุปคือผมนั่งรถไฟไปหัวหิน เพื่อจะมาถึงแล้วจับตั๋วนั่งกลับทันทีจริงๆ ครับ นึกเสียดายอยู่นิดๆ ที่ยังไม่ได้เอาขาจุ่มทะเลเลย แต่ก็พยายามโน้มน้าวจิตใจตัวเองว่าอย่าลืมสิ แกไม่ได้ตั้งใจจะมาเที่ยวที่ไหนตั้งแต่แรกอยู่แล้วนิ แค่มานั่งรถไฟเฉยๆ ก็มาแล้วไง เอ๊ จะอะไรอีก

ถามว่าทริปฉุกเฉินคราวนั้นสนุกไหม ถือว่าสนุกมากนะครับ ด้วยความไม่คาดหวังอะไรล่วงหน้า จึงทำให้ทุกสิ่งที่เจอดูตื่นเต้นไปหมด สนุกที่วันเดียวได้ผ่านตั้งหลายจังหวัด สนุกที่ไม่มีใครจำได้ แถมสนุกที่เงินยี่สิบบาทยังใช้ซื้อของกินได้อยู่ … คำพูดหล่อๆ สไตล์ฮิปสเตอร์ที่ว่าระหว่างทางสำคัญกว่าปลายทาง ผุดขึ้นมาในความคิดตลอดขากลับ เพราะปลายทางที่ผมได้ลงไปยืนนั้น กินเวลาไม่ถึงห้านาที

แต่อีระหว่างทางเนี่ย รวมขาไป ขากลับ ดีเลย์ เฉื่อยช้าหวานเย็นเอวรี่ติงแล้ว สิบเอ็ดชั่วโมงเชียวนะ!

ออกจากบ้านเก้าโมง ถึงบ้านสามทุ่มพอดี

สรุปสิ่งที่ได้รู้จากทางรถไฟสายใต้วันนั้นคือ

หนึ่ง … รถไฟไม่ใช่พาหนะสำหรับคนยากอย่างที่ใครๆ เข้าใจ แต่เป็นการเดินทางของคนทุกหมู่เหล่าจริงๆ ตำรวจ ทหาร นักเรียน ชาวออฟฟิศ คนทำงานที่นั่งไปกลับทุกอาทิตย์ นักท่องเที่ยวที่กระเป๋าบิ๊กควายก็ยิ่งชอบ คือกระเป๋ามึงเยอะและใหญ่มากจนไม่น่ามีรถตู้คันไหนอยากให้ขึ้น ยกเว้นรถไฟ

สอง … รถไฟฟรี แต่ต่างชาติเสียตังค์ รู้สึกกระหยิ่มนิดๆ

สาม … ก๋วยเตี๋ยวแห้งเป็นอาหารสามัญประจำรถไฟฟรีที่ขึ้นชื่อ มีให้กินตลอด แต่ความอร่อยไม่เท่ากัน อยากรู้ต้องสุ่มเอาเอง ส่วนขนมหม้อแกง หาซื้อกินง่ายมากในสายใต้ ประทับใจ

สี่ … กลับถึงบ้านแล้วพบว่าหน้ากูดำมากครับ ผลจากการตากฝุ่นตลอดสิบกว่าชั่วโมง ไงล่ะ อยากนั่งเฉยๆ แต่ไม่อยากอยู่บ้าน

ห้า … นอกจากหน้าจะดำ ทั้งตัวยังหอมไปด้วยกลิ่นสนิม เหมือนบริโภคธาตุเหล็กเป็นอาหารมาตลอดทั้งชีวิต

หก … พบว่าการนั่งดูชาวบ้านใช้ชีวิตก็สนุกดี ปกติเราต่างมีวิถีชีวิตของตัวเองให้วุ่นวายดูแล แต่การได้มองดูความเคลื่อนไหวเป็นไปของคนอื่นบ้าง ก็เพลินเหมือนกัน

เจ็ด … ถ้าอยากไปเที่ยวหัวหินด้วยรถไฟ ต้องไปค้างคืน ถ้าจะเอาภายในวันเดียว แกจะได้แค่นั่งไปแล้วนั่งกลับ จำไว้ (บอกตัวเอง)

แปด … ถ้าคิดว่าอยากเที่ยว ไปเลย อย่ากลัว อย่าโครงการนาน อย่าคิดมาก วางแผนเป็นเรื่องดี แต่ถ้ามากเกิน ร่างโปรเจกต์อยู่นั่นแล้ว สุดท้ายมักจะล่มทุกที

ถึงทริปฉุกเฉินจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่มั่นใจว่าถ้ามีโอกาสอีก ผมก็ยังจะเลือกเที่ยวด้วยวิธีนี้เหมือนเดิม

น้าเน็ก & น้องเนิฟ

น้าเน็ก