อธิบาย 2 คำตอบ จากโอปอล บนเวที Miss Universe ทำไม ‘ความเห็นใจ’ และ ‘ความหวัง’ คือพลังกู้วิกฤตโลกยั่งยืน

อธิบาย 2 คำตอบ จากโอปอล บนเวที Miss Universe ทำไม ‘ความเห็นใจ’ และ ‘ความหวัง’ คือพลังกู้วิกฤตโลกยั่งยืน

ถอดรหัสวลีเด็ดจาก เวที ‘Miss Universe’ กอบกู้โลกรวน คำตอบของโอปอล (สุชาตา ช่วงศรี) MU Thailand  กับ 2 คำตอบ ทัชใจ คนไทย ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) และความหวัง (Hope) นำไปสู่การสร้างผู้นำ และสร้างผลกระทบทำให้โลก หมายรวมถึงวิกฤตสภาพอากาศ มีสันติสุข ยั่งยืนได้อย่างไร 

 

เวทีประกวด Miss Universe 2024 ที่เมืองเม็กซิโกซิตี้ ประเทศเม็กซิโก จบลงอย่างสวยงาม แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้มงกุฎอันดับหนึ่ง แต่ ‘โอปอล สุชาตา ช่วงศรี’ ก็สามารถคว้ารองชนะเลิศอันดับ 3 มาครอง พร้อมกับสปีชการตอบคำถามบนเวทีถูกใจผู้ชม และแฟนนางงามตั้งแต่รอบชิงเข้าสู่ Top 5 ซึ่งเป็นรอบประชันไหวพริบ สติ และทัศนคติ ที่เธอถูกถามว่าคุณสมบัติอะไรที่จะนำพาให้เป็นผู้นำที่สำเร็จ ? 

เธอตอบว่า “การรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Empathy) ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน คุณต้องมีความเห็นอกเห็นใจกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้นำที่ไหนในโลก แต่การเห็นอกเห็นใจ เป็นสิ่งที่ผู้นำทุกคนต้องมี นั่นคือสิ่งที่โลกกำลังต้องการ”

คำตอบดังกล่าวทำให้เธอสามารถเข้าสู่ Top 5 ร่วมกับเหล่านางงามจาก ไนจีเรีย, เม็กซิโก, เดนมาร์ก และเวเนซุเอลา

ส่วนคำถามรอบต่อมา เธอถูกถามถึงเวทีประกวดมิสยูนิเวิร์ส เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงมาหลายยุคหลายสมัย คุณอยากจะบอกอะไรกับคนที่กำลังดูคุณอยู่ตอนนี้? ซึ่งเธอก็ได้ให้คำตอบน่าชื่นชมอีกว่า 

“เชื่อเสมอ และมีความหวังเสมอ ฉันทำงานในโครงการ Opal for Her กับคนไข้มะเร็งเต้านมและแพทย์ ซึ่งเรารู้ดีว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะโรคนี้ได้ แต่สิ่งที่ฉันเห็นคือทุกคนมีความหวัง และเชื่อว่าวันพรุ่งนี้จะดีกว่า ตราบใดที่คุณเชื่อและมีความหวัง พลังของคุณจะไม่มีที่สิ้นสุด จิตวิญญาณและพลังของคุณจะส่องสว่าง ขอบคุณค่ะ”

 

 

 

 

ความเห็นอกเห็นใจ เป็นทักษะพื้นฐานที่ผู้คนอาจหลงลืมไป

จากคำตอบดังกล่าว สะท้อนให้เห็นสองเรื่องคือ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Empathy) หรือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่ติดตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า บางครั้ง วิถีชีวิต หรือสภาพแวดล้อม ที่แตกต่างกัน อาจทำให้ผู้คนหลงหลืมที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โฟกัสเพียงตนเองเป็นหลัก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันสูง นำมาสู่การบั่นทอนจิตใจคนรอบข้าง 

เรื่องที่สะท้อนให้เห็นแพสชันของผู้หญิงไทยคนหนึ่งในการทำงานเพื่อยับยั้งโรคมะเร็งเต้านมเพื่อให้ผู้หญิงทั่วโลกได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพ เพราะ โอปอล ได้ขับเคลื่อน โครงการ Opal for her ที่มุ่งมั่นในการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงไทยดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ โดยเธอได้ร่วมรณรงค์ให้ทุกคนตระหนักถึงโรคมะเร็งเต้านม ด้วยประสบการณ์ตอนอายุ 16 ปี เคยผ่าตัดก้อนเนื้อที่เต้านม จึงทำให้เข้าใจความรู้สึกของผู้ป่วยเป็นอย่างดี ซึ่งโครงการนี้ เธอพยายามขับเคลื่อนโดยร่วมกับโรงพยาบาลต่าง ๆ ทำกิจกรรมให้ความรู้คนไทยในการตรวจสุขภาพของตนเอง โดยเฉพาะผู้หญิง

 

ความเห็นอกเห็นใจพลังสร้างอนาคตยั่งยืน

โรเบิร์ต เซี่ย  (Robert Xie)  นักนวัตกรรมและผู้เปลี่ยนแปลงโลก และนักกลยุทธ์และนักปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี (Innovator & Disruptor: Transforming Industries with Cutting-Edge Tech and Groundbreaking Strategies) อธิบายว่า ความเห็นอกเห็นใจถือเป็นพลังในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ที่ช่วยรับประกันความเป็นอยู่ที่ดีของคนรุ่นต่อไป

เพราะในเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาที่มีความซับซ้อน พบว่าความเปลี่ยนแปลงโลกเกิดขึ้นตลอดเวลา เข้ามาท้าทายการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษชาติ ดังนั้นเมื่อเราคิดเกินกว่าชีวิตของเราเองและมุ่งเน้นไปที่ความเป็นอยู่ที่ดีของโลกและผู้อยู่อาศัยในระยะเวลาที่เกินกว่าการดำรงอยู่ของเรา เราจะก้าวข้ามสัญชาตญาณดั้งเดิมของเรา ที่เกิดมาแค่เพื่ออาตัวรอด ดำรงอยู่ เพราะการเริ่มต้นสืบพันธ์ุความเป็นมนุษย์ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ต้องมาพร้อมกันกับขอบเขตของความเห็นอกเห็นใจและความเมตตา กุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิถีทางการทำลายล้างเผ่าพันธ์ุ

มนุษย์มีความสามารถพิเศษ ในการคิดจินตนาการขั้นสูง จึงช่วยทำให้อยู่รอดในโลกที่ยิ่งใหญ่ แต่จะการอยู่รอดได้ในภายภาคหน้าจะต้องมีความสมดุล ไม่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ต้องเกื้อกูลกันระหว่าง สิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ด้วยความสมดุลสงบสุข โดยการยอมรับธรรมชาติที่เชื่อมโยงถึงกันของระบบเหล่านี้ จึงต้องมีการพัฒนาแนวคิดการเชื่อมโยงแบบองค์รวมเพื่อความยั่งยืนที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยบนโก 

ดังนั้น เมื่อเริ่มต้นจากพื้นฐานการปลูกฝัง ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น ให้คำนึงถึงผู้คน และสิ่งแวดล้อม จะทำให้เกิดการตระหนักว่า ทุกการกระทำของเราในวันนี้ ล้วนส่งผลกระทบอย่างมากต่อโลกในวันพรุ่งนี้ 

“การตระหนักรู้นี้สามารถผลักดันให้เราสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายและยั่งยืนในพฤติกรรมและวิถีชีวิตของเรา ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของโลกได้อย่างแข็งแรง” 

การสร้างสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับโลก เมื่อเกิดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นแล้ว จึงเกิดการสร้างการมีส่วนร่วม เกิดความพยายามร่วมกันที่ก้าวข้ามพรมแดน วัฒนธรรม และอุดมการณ์ของแต่ละคน ละทิ้งความปรารถนาส่วนตัวและยอมรับวิสัยทัศน์ร่วมกัน ที่จับมือกันสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับคนทุกคนบนโลก จึงนำไปสู่การการสร้างความร่วมมือระดับโลก

 

 

 

 

“เราสามารถทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยนวัตกรรมใหม่ที่แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนทรัพยากร และความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม ที่กำลังเป็นปัญหา โดยเริ่มจากการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และมุ่งมั่นต่อสวัสดิภาพของคนรุ่นต่อไป” 

 

ภารกิจเพื่อมวลมนุษยชาติที่เริ่มต้นจากตัวเรา

ทั้งนี้ จะต้องพัฒนาศักยภาพแหล่งพลังงานหมุนเวียนและเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มุ่งเน้นการ รีไซเคิลทรัพยากรทั้งหมดที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ จะทำให้เกิดความยั่งยืน โดยที่คุณภาพชีวิตของทุกคนดีขึ้นได้ โดยไม่ต้องมีต้นทุนเสียค่าใช้จ่ายให้กับโลกที่เราอาศัยอยู่ จากการใช้พลังงานทรัพยากรในโลกจนไม่เพียงพอกับความต้องการทุกคน 

นอกจากนี้จะต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีและแนวทางปฏิบัติที่ส่งเสริมประสิทธิภาพและการใช้ทรัพยากรซ้ำ เกิดการประเมินติดตามรอยเท้าในระบบนิเวศ ซึ่งหมายถึงการนำทรัพยากรมาใช้และมีการส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างไร

“แนวทางสำคัญที่ทำให้เกิดการขึับเคลื่อน กำหนดเวทีสำหรับอนาคตที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน ความก้าวหน้านี้แสดงถึงความปรารถนาร่วมกัน ที่จะรักษาความงามของโลกและความอุดมสมบูรณ์ของชีวิตสนับสนุน”

ทั้งนี้ แม้วิสัยทัศน์จะครอบผลประโยชน์เพื่อมนุษยชาติทั้งหมด แต่การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มต้นจากระดับบุคคล เริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพียงเล็กน้อย โดยการทำความเข้าใจติดตามรอยเท้าทรัพยากรของตัวเอง สิ่งง่ายๆ ใกล้ตัว เช่น การลดของเสียและอนุรักษ์ทรัพยากร ซึ่งรวมถึงการปรับพฤติกรรมการบริโภคยอย่างมีมีสติ 

เช่น การซื้อผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตอย่างยั่งยืน ตลอดจนการยอมรับวิถีชีวิตแบบมินิมอลเพื่อลดการสร้างของเสีย 

นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมในแนวทางปฏิบัติเช่น การรีไซเคิล การทำปุ๋ยหมัก และการอนุรักษ์พลังงานสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อการบริโภคทรัพยากรและการผลิตของเสีย ซึ่งมากกว่าสิ่งที่อุตสาหกรรมรีไซเคิล เพื่อแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน ที่ผู้คนมีชีวิตบริโภคอย่างฟุ่มเฟือย

“เมื่อผู้บริโภค คนทุกคนมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง จะมีพลังที่จะสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้บริษัทและรัฐบาลของตนดำเนินนโยบายที่ยั่งยืนมากขึ้นซึ่งมุ่งลดผลกระทบโดยรวมของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ได้รับการสนับสนุนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ที่ทำให้วาทกรรมสาธารณะกลายเป็นจริง” 

 

นอกจากนี้จะมีการสนับสนุนผู้นำทางความคิดที่สำคัญและมีความรับผิดชอบซึ่งให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด และความเท่าเทียมทางสังคม ร่วมมือกันอุดหนุนบริษัทที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าต่อความยั่งยืนและแนวปฏิบัติทางจริยธรรม ธรรมาภิบาล 

 

 

 

 

 

พลังผู้บริโภคเปลี่ยนโลก จากนโยบายจนถึงภาคธุรกิจ

โดยพลังผู้บริโภคจะนำไปสู่การเกิดการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบ มุ่งสู่การเติบโตของอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนเป็นอีกวิธีหนึ่งในการสนับสนุนอนาคตที่ยั่งยืนและยังได้รับประโยชน์จากกระแสการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น มีแนวการลงทุนทางการเงินให้สอดคล้องกับค่านิยมส่วนบุคคลเพื่อเป้าหมายความยั่งยืน 

ทั้งนี้ผู้คนที่มีส่วนร่วมในการเร่งอุตสาหกรรมสีเขียว รวมถึงได้รับประโยชน์จากอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จจากแรงจูงใจของรัฐบาลและเอกชน มีการสนับสนุนบริษัทที่ให้ความสำคัญกับพลังงานหมุนเวียน การลดของเสีย และการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างมีความรับผิดชอบ ตลอดจนบริษัทที่ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อโลกที่ยั่งยืนมากขึ้น 

โดยจะนำไปสู่การส่งเสริมภาคการศึกษาและการสร้างการตระหนักรู้ จนเกิดเป็นวัฒนธรรมการเรียนรู้ถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นใหม่ที่มีความเห็นอกเห็นใจและมีความรับผิดชอบต่อโลก เกี่ยวข้องกับการบูรณาการการศึกษาเกี่ยวกับความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมเข้ากับหลักสูตรในโรงเรียน ตลอดจนการเสนอโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน โดยการหล่อเลี้ยงพลเมืองที่มีความรู้และมีส่วนร่วม 

“เราให้อำนาจแก่บุคคลในการตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบและสนับสนุนนโยบายที่ก้าวหน้าซึ่งแก้ไขปัญหาที่ท้าทายเร่งด่วนในยุคของเรา นำไปสู่การเล่าเรื่องและการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ศิลปะ วรรณกรรม และสื่อสามารถสร้างแรงบันดาลใจและเชื่อมโยงผู้คนจากภูมิหลังที่หลากหลาย ทำให้พวกเขาสามารถแบ่งปันประสบการณ์และมุมมองเกี่ยวกับความยั่งยืนได้” 

 

ทำไมความเห็นอกเห็นใจจึงช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อม

เทอเรนซ์ เลสเตอร์ (Terence Lester) อธิบายว่า การทำความเข้าใจกับสิ่งที่เป็นความจริงแท้  ต้องเริ่มต้นจากการเรียนรู้ สัมผัสมันด้วยตัวเอง หรืออย่างน้อยก็ฟังเรื่องราวของคนที่เคยสัมผัสมัน จึงต้องเป็นผู้ฟังที่ดี ที่ฟังอย่างเข้าใจ เป็นสิ่งสำคัญ ที่มีพื้นฐานมาจากความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ที่พูดถึงประเด็นแนวทางการแก้ไขปัญหา จนกระทั่งเข้าใจความเป็นเป็นมาของปัญหาผลกระทบด้าน สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) ซึ่งเป็นปัญหา สิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความท้าทายอยู่ที่ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจผู้อื่นอย่างแท้จริง หากไม่มีเป้าหมายนี้จึงถือ เป็นการพลาดการให้ความสำคํญกับหัวใจหลักของทฤษฎีพื้นฐานการดำรงชีวิตอยู่ เพื่อมนุษย์ และโลกใบนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น 

 

 

 

 

ความเห็นอกเห็นใจให้ภาพที่แท้จริงของปัญหา

ยกตัวอย่างชัดเจน โครงการของ Plant With Purpose ที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้อย่างไร ที่เกิดความแห้งแล้ง จากตัวอย่างในประเทศไทย สิบปีที่แล้ว หมู่บ้านหนุึ่งเคยมีความเขียวขจี และเจริญรุ่งเรือง แต่กลับมีสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม หากมีการฟื้นฟูด้วยความร่วมมือกัน จะทำให้สิ่งแวดล้อมมีความสมดุล ที่นำไปสู่การรับมือกับภัยแล้ง น้ำท่วม ความไม่มั่นคงทางอาหาร และการตัดไม้ทำลายป่าไม่ใช่แนวคิดที่เคยเป็นแค่นามธรรม แต่วันนี้ผลกระทบเกิดขึ้นจริง ทุกคนในชุมชนสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจน

 

“ความเห็นอกเห็นใจคือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อความรักเปิดตาของเราให้เห็นและสัมผัสโลกในแบบที่คนอื่นเห็นและสัมผัส เพียงเพราะปัญหาอาจไม่อยู่ตรงหน้าเราไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่อยู่ตรงหน้าคนอื่น”

 

ปัญหาระดับโลกหมายถึงอะไรสำหรับคนอย่างเรา

ผลวิจัยต่างๆ ที่ผ่านมา มีการศึกษามากมายที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือเด็กคนเดียวมากขึ้นเมื่อพวกเขารู้จักชื่อของเธอ เห็นใบหน้าของเธอ และรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเธอหนึ่งข้อ มากกว่าที่จะสนับสนุนความพยายามในการช่วยเหลือคนจำนวนมากขึ้น ในฐานะมนุษย์ เราถูกตั้งโปรแกรมให้สนใจเรื่องราวมากกว่าสถิติ และในขณะที่ทั้งสองมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เราเข้าใจโลก เรื่องราวมักจะแสดงความสามารถที่แข็งแกร่งกว่าในการลบความเฉยเมย

 

ความเห็นอกเห็นใจ พาเราไปไกลทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา

วิธีที่เราเห็นตัวเองมีอิทธิพลต่อวิธีที่เราปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เมื่อเห็นตัวเองเป็นพ่อแม่ที่รับผิดชอบ ย่อมต้องการส่งต่อวิธีที่ปฏิสัมพันธ์กับลูกๆ หากเราเห็นตัวเองเป็นผู้ดูแลโลกและไม่ใช่แค่ผู้บริโภค นั่นจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในชีวิตประจำวันของเรา

เมื่อเราสามารถเข้าร่วมกับพันธมิตรในชนบทของเม็กซิโก หรือบุรุนดี เตือนถึงอัตลักษณ์ในครอบครัวโลกของพระเจ้า การเติบโตมีแรงจูงใจที่จะยืนหยัดเคียงข้างพันธมิตร  เมื่อเริ่มต้นจากการรับฟังเรื่องราวของใครบางคน ชีวิตหรือประสบการณ์ของพวกเขา ด้วยใจและจิตใจที่เปิดกว้าง จะเริ่มสูญเสียความรู้สึกความเป็นส่วนตัว เกิดความเป็นเอกภาพเติบโตขึ้นและเราจะได้รับการเตือนถึงจิตวิญญาณของความเป็นเอกภาพและความหลากหลายที่พระเจ้าตั้งใจไว้สำหรับโลก

“การเข้าถึงปัญหาความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม จะต้องก้าวข้ามปล่อยวาางความเป็นตัวตนของเรา เป็นอิสระจากทั้งแรงกดดันในการกอบกู้โลก หรือ ล่อลวงให้เลือกความเฉยเมย ต้องยืนหยัดเคียงข้างหมู่บ้านที่เผชิญกับความยากจนและความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลกหรือไม่” 

 

การสร้างความหวัง รากฐานของความยั่งยืน 

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ความยั่งยืนมักถูกมองจากกรอบของความกลัว แต่ในยุคใหม่ความยั่งยืนมีรากฐานมาจากการสร้าง “ความหวัง” (HOPE) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความหวังที่รุนแรง หรือความหวังเชิงวิพากษ์-การเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การปลี่ยนแปลงความยั่งยืนได้ จากนักการเคลื่อนไหวร่วมกัน เช่น การเคลื่อนไหวทางสังคมของบูเอน วิเวียร์ และการเคลื่อนไหวการเปลี่ยนแปลง เป็นการตระหนักถึงความหวังที่รุนแรงในทางปฏิบัติ 

“การเป็นคนหัวรุนแรงอย่างแท้จริงคือการทำให้ความหวังเป็นไปได้ แทนที่จะทำให้ความสิ้นหวังน่าเชื่อถือ” แนวคิดจาก เรย์มอนด์ วิลเลียมส์, หนังสือทรัพยากรแห่งความหวัง (Raymond Williams, Resources of Hope) 

ในยุคปัจจุบัน ผู้คนเต็มไปด้วยความกลัว ในบทความงานเขียนส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยวาทศิลป์ที่น่ากลัวเกี่ยวกับ ‘ความหายนะและความมืดมน’ หรือ ‘ความชั่วร้าย’ ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เกิดจากการใช้สื่อ โดยผู้มีอำนาจ และนักการศึกษาด้านความยั่งยืน เมื่อทำความเข้าใจความยั่งยืนจากกรอบของความกลัวทำให้เกิดความรู้สึกเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ จนนำไปสู่ความขัดแย้งกัน ดังนั้น ความกลัวเป็นเงาของอนาคต อาจจะกลับกลายเป็นพอใจกับการกระทำที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างทันที 

 

ความหวังพลังบวก เปลี่ยนการรับรู้สู่ลงมือทำ 

การพัฒนาความยั่งยืน ที่เริ่มต้นจากความคิดเชิงบวก เป็นการสร้างความหวัง และการเคลื่อนไหวที่หลากหลายที่กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่เรารับรู้ และปฏิบัติความยั่งยืน โดยมีรากฐานมาจากกรอบของความหวัง เพื่อสร้างกระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในวงกว้าง 

ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับความยั่งยืนเริ่มมุ่งเน้นไปที่การบูรณาการระบบและการเชื่อมโยงกัน ไปสู่ แนวคิด การ ‘ความยั่งยืนที่ฟื้นฟู’ กำลังเปลี่ยนกรอบความเข้าใจของเราจากแนวทางการลดอันตรายที่โดดเด่น ซึ่งมีรากฐานมาจากกรอบของความกลัว ไปสู่แนวทางการฟื้นฟูที่ครอบคลุมมากขึ้น และเกิดการยอมรับ

“การยืนหยัดเพื่อการเปลี่ยนแปลงและหาทางแก้ไขปัญหาทางวัฒนธรรมและนิเวศวิทยาที่ซับซ้อน ความยั่งยืนยังสามารถเข้าใจได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงส่วนบุคคลและชุมชนไปสู่การเป็นและการกระทำที่ตั้งคำถามอย่างวิพากษ์วิจารณ์ต่อระบบที่ครอบงำและมีความสัมพันธ์กันมากขึ้น เชื่อมโยงกันตามสถานที่ และสมดุลกับระบบนิเวศ”  

ความเข้าใจใหม่ๆ เหล่านี้หลายอย่างถูกรวมเข้าด้วยกันและคิดว่าเป็นการมีส่วนร่วมใน ‘ความยั่งยืนเชิงปฏิบัติ’ ซึ่งหมายถึง ‘การสร้างเรื่องราวร่วมกันเกี่ยวกับอนาคต’ ผ่าน ‘การกระทำที่เป็นรูปธรรม’ แม้ว่าคำจำกัดความของความยั่งยืนที่แตกต่างกันจะเกิดขึ้นในวรรณกรรม แต่แนวคิดมักจะมีความสัมพันธ์กัน ร่วมมือกัน และส่งเสริมแนวทางที่หลากหลาย แนวคิดนี้กำลังเปลี่ยนแปลงเพื่อครอบคลุมแก่นแท้ของกระบวนการเปลี่ยนแปลง ซึ่งความยั่งยืนไม่ใช่สถานที่ที่จินตนาการไว้ไกล แต่เป็นสิ่งที่เรากำลังสร้างร่วมกัน

 

ความหวัง ที่ยังไม่ปรากฏภาพอนาคตชัดเจน

ภายในแนวคิดใหม่เกี่ยวกับความยั่งยืน มีความเข้าใจว่าภาวะในอนาคตจะยังคงมีความซับซ้อนและไม่แน่นอน บ่งบอกถึงความเป็นกลางบางประการ ที่ไม่ได้ระบุถึง อนาคตจะเป็นบวกหรือลบ แต่บ่งบอกว่าการกระทำของเรามีความสามารถในการกำหนดทิศทางที่เกิดขึ้นได้จากปัจจุบัน ความหวังที่แท้จริง จะต้องมีความแข็งแกร่งกว่าความมองโลกในแง่ดี ความหวังต้องการความกล้าที่จะไปไกลกว่า ขุดลึกกว่า เผชิญหน้ากับขีดจำกัดของเรา 

Thomas Aquinas  มองว่า ความหวังเป็นนิสัยของจิตใจที่ตั้งใจ ที่สร้างทัศนคติ ความมุ่งมั่น และท่าทีที่มีเหตุผล มีความพากเพียร ในการทำ ‘ความดี’  

ในทฤษฎีว่ามีการสอนความหวัง 5 ประการ: ความอดทน ความวิพากษ์ ความมั่นคง ความแน่วแน่ และการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่การสอนทั้งห้านี้มีประโยชน์ในบริบทที่แตกต่างกัน ทั้งความหวังเชิงวิพากษ์และความหวังเชิงเปลี่ยนแปลงมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงกับความยั่งยืน บทความนี้จะเสนอว่าความหวังเชิงวิพากษ์-เชิงเปลี่ยนแปลง หรือความหวังที่รุนแรง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของเราต่อความยั่งยืน

 

บทบาทของยูโทเปีย

แนวคิดคลาสสิกของยูโทเปียมักจะเชื่อมโยงกับแนวคิดของดิสโทเปีย ถูกพิจารณาว่าเป็นสิ่งตรงข้ามกัน แต่สถานะของยูโทเปียมักถูกคิดว่าจะบรรลุหลังจากวิกฤตและการล่มสลายของสถานะดิสโทเปียหรือ ‘วันสิ้นโลก’ Hall (2009) จึงนำเสนอการเคลื่อนไหวแบบวันสิ้นโลกเป็น ‘แรงผลักดันที่สร้างเปลี่ยนแปลง’ ตลอดประวัติศาสตร์ เช่น ในช่วงสงครามครูเสด การปฏิวัติฝรั่งเศส และคอมมิวนิสต์สมัยใหม่ Naomi Klein (2017) หนึ่งในนักเคลื่อนไหวชั้นนำสำหรับการเคลื่อนไหวเพื่อความยุติธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ

แนวคิดของยูโทเปียที่เกิดขึ้นใหม่เมื่อเร็วๆ นี้อธิบายว่าเป็นทิศทางที่นำทางมากกว่าที่จะเป็นเป้าหมายสุดท้าย  เสนอว่าเราควรปฏิเสธ ยูโทเปียที่คงที่เพื่อสนับสนุนการเดินทางที่ปรับเปลี่ยนได้ เริ่มจากการไม่มีความชัดเจนว่าจะไปจากโลกปัจจุบันไปยังโลกที่เป็นไปได้ทางทฤษฎีเหล่านี้ได้อย่างไร แต่มีความคิดที่ชัดเจนว่าจะทำงานเพื่อเป้าหมายอะไร 

 

ที่มา 

 

https://plantwithpurpose.org/environmentalempathy/

 

Radical hope: Transforming sustainability « Journal of Sustainability Education

 

http://www.susted.com/wordpress/content/radical-hope-transforming-sustainability_2019_12/