‘แจ็ก หม่า’ ย้ำจุดยืน AI ควรเป็นเครื่องมือปลดปล่อยศักยภาพมนุษย์ ไม่ใช่มาแย่งงาน

‘แจ็ก หม่า’ ย้ำจุดยืน AI ควรเป็นเครื่องมือปลดปล่อยศักยภาพมนุษย์ ไม่ใช่มาแย่งงาน

แจ็ก หม่า ผู้ก่อตั้งและอดีตประธานกรรมการบริหารของกลุ่มอาลีบาบา ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเน้นย้ำว่าเทคโนโลยีดังกล่าวควรถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนและเสริมพลังให้มนุษย์ ไม่ใช่เพื่อมาแข่งขันหรือทดแทนแรงงานมนุษย์

 

ในงานสัมมนาด้านเทคโนโลยีล่าสุด มหาเศรษฐีชาวจีนวัย 59 ปีรายนี้ได้กล่าวว่า “เราต้องมองว่า AI เป็นเครื่องมือที่จะช่วยปลดปล่อยศักยภาพของมนุษย์ ไม่ใช่เป็นตัวแทนที่จะมาลดทอนคุณค่าของเรา” พร้อมเตือนถึงอันตรายของการแข่งขันพัฒนา AI ที่มุ่งเน้นแต่การเพิ่มประสิทธิภาพโดยไม่คำนึงถึงมิติทางสังคมและมนุษยธรรม

 

 

ตลาด AI โตพุ่ง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2030″

 

ตามข้อมูลจากรายงานการวิเคราะห์ตลาดล่าสุด มูลค่าตลาด AI ทั่วโลกในปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 207.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 38% ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนมหาศาลในเทคโนโลยีนี้ทั่วโลก

 

โดย อาลีบาบาหันมาทุ่มเทกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อย่างจริงจังในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวโมเดลเอไอชื่อ Qwen ที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง และทำให้บริษัทสามารถแข่งขันกับผู้นำในวงการอย่าง ChatGPT ของสหรัฐ และ DeepSeek ของจีน

 

แจ็ก หม่า ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนา AI ที่มีจริยธรรม โดยคำนึงถึงผลกระทบระยะยาวต่อสังคม “เทคโนโลยีควรนำมาซึ่งความหวังและโอกาส ไม่ใช่ความกลัวและการแบ่งแยก” เขากล่าว พร้อมเรียกร้องให้ผู้พัฒนาเทคโนโลยีและผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกร่วมมือกันสร้างกรอบการทำงานที่จะทำให้ AI เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ

 

การสำรวจความคิดเห็นล่าสุดจากผู้เชี่ยวชาญด้าน AI กว่า 1,500 คนทั่วโลก พบว่า 73% เชื่อว่าการพัฒนา AI ควรมุ่งเน้นไปที่การเสริมความสามารถของมนุษย์มากกว่าการทดแทน ขณะที่ 62% แสดงความกังวลว่าการพัฒนา AI ในปัจจุบันยังขาดการคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมอย่างเพียงพอ

 

 

AI ควรออกแบบให้เสริมความสามารถพิเศษมนุษย์

 

ในมุมมองของแจ็ก หม่า AI ควรถูกออกแบบให้เสริมความสามารถพิเศษเฉพาะของมนุษย์ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ ความเห็นอกเห็นใจ และการตัดสินใจเชิงจริยธรรม แทนที่จะพยายามเลียนแบบหรือแทนที่คุณสมบัติเหล่านี้ เขาเชื่อว่าการผสมผสานระหว่างความสามารถของ AI กับความเป็นมนุษย์จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่า

 

“เราต้องสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพของ AI กับคุณค่าของมนุษย์” แจ็ก หม่ากล่าว “เพราะสุดท้ายแล้ว เป้าหมายของเทคโนโลยีควรเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ไม่ใช่แค่การสร้างกำไรหรือความก้าวหน้าทางเทคนิคเท่านั้น”

 

 

AI ต้องรับใช้มนุษย์ ไม่ใช่มาแทนที่

 

สถิติจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุว่า ภายในปี 2030 ประมาณ 375 ล้านตำแหน่งงานทั่วโลกอาจได้รับผลกระทบจากการนำ AI มาใช้ โดย 85 ล้านตำแหน่งอาจถูกทดแทนโดยสมบูรณ์ ขณะที่ 290 ล้านตำแหน่งจะเปลี่ยนลักษณะการทำงานอย่างมีนัยสำคัญ

 

ข้อเสนอแนะของแจ็ก หม่า มาในช่วงเวลาที่การพัฒนา AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก และเกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับผลกระทบด้านการจ้างงาน ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัย ความคิดเห็นของเขาสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในแวดวงธุรกิจและเทคโนโลยีเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนา AI ที่อาจขาดการคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมในระยะยาว

 

จากการสำรวจความเห็นของผู้บริโภคใน 25 ประเทศพบว่า 67% รู้สึกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่อความเป็นส่วนตัว และ 59% กังวลว่า AI อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดแรงงาน อย่างไรก็ตาม 78% เชื่อว่า AI สามารถช่วยแก้ปัญหาท้าทายระดับโลกได้หากได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสม

 

แนวคิดของแจ็ก หม่า สะท้อนให้เห็นถึง การพัฒนา AI โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับความต้องการและคุณค่าของมนุษย์ในระยะยาว โดยการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา AI ทั่วโลกในปี 2024 มีมูลค่าสูงถึง 146 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 35% จากปีก่อนหน้า สะท้อนถึงความสำคัญที่ทั่วโลกให้กับการพัฒนาเทคโนโลยีนี้

 

อ้างอิง

https://www.bangkokbiznews.com/tech/1175602

https://www.vietnam.vn/th/jack-ma-muon-ai-phuc-vu-khong-phai-chua-te-con-nguoi

 

บทความอื่น ที่น่าสนใจ

ยิ่งเติบโตยิ่งกินเยอะ! เมื่อ “AI” และ “ดาต้าเซ็นเตอร์” ใช้น้ำและพลังงานมหาศาล ไทยจะไปทางไหนดี