“เอเวอร์เรสต์” (Everest) ยอดเขาแห่งความทะเยอทะยาน ปัญหา และความยั่งยืน

“เอเวอร์เรสต์” (Everest) ยอดเขาแห่งความทะเยอทะยาน ปัญหา และความยั่งยืน

ภูเขาเอเวอร์เรสต์ — หรือที่รู้จักในภาษาท้องถิ่นว่า “สการ์มาธา” (Sagarmatha) ในเนปาล และ “โชโมลุงมา” (Chomolungma) ในภาษาทิเบต ซึ่งแปลว่า “เทพมารดาแห่งโลก” — คือยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 8,849 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

แม้จะดูเป็นจุดสูงสุดที่หยุดนิ่ง แต่แท้จริงแล้ว เอเวอร์เรสต์ยังคงค่อยๆ สูงขึ้นทุกปี จากการชนกันของแผ่นเปลือกโลกอินเดียและยูเรเชีย เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ และในขณะเดียวกัน ก็สะท้อนความใฝ่ฝันของมนุษย์อย่างชัดเจน

จากสถานที่อันห่างไกลและศักดิ์สิทธิ์กลางเทือกเขาหิมาลัย เอเวอร์เรสต์ได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักปีนเขาและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก หลายคนมองว่าการพิชิตยอดเขานี้คือการเอาชนะขีดจำกัดของตนเอง และคือภารกิจแห่งชีวิต ทว่า ความนิยมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้นำพาปัญหาหนักหน่วงตามมา ทั้งในเชิงสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และการจัดการอย่างยั่งยืน

ขยะ: มลพิษที่อยู่เหนือเมฆ

หนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนที่สุดบนเอเวอร์เรสต์ คือการสะสมของขยะจำนวนมหาศาล นักปีนเขาแต่ละคนทิ้งขยะเฉลี่ยคนละราว 8 กิโลกรัม ตั้งแต่ถังออกซิเจนเปล่า เต็นท์เก่า อุปกรณ์ที่ชำรุด ไปจนถึงภาชนะอาหารและมูลของมนุษย์ ซึ่งล้วนแต่ย่อยสลายยาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่หนาวจัดและมีออกซิเจนต่ำ การขนย้ายขยะลงมาจึงเต็มไปด้วยความยากลำบากและอันตราย

ในอดีต ขยะจำนวนหนึ่งอาจถูกชะล้างหรือฝังกลบโดยธรรมชาติ แต่ปัจจุบัน ขยะสังเคราะห์ประเภทโลหะและพลาสติกไม่สามารถย่อยสลายได้ และถูกทิ้งค้างอยู่ตามเส้นทางปีนเขา ทำให้แม้แต่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดก็กลายเป็นกองขยะกลางเทือกเขา ความเปราะบางของระบบนิเวศในบริเวณนี้ยังทำให้ผลกระทบจากขยะรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อขยะและสิ่งปฏิกูลจากนักท่องเที่ยวไหลลงสู่แหล่งน้ำในหมู่บ้านเบื้องล่างในฤดูฝน ทำให้เกิดปัญหาการปนเปื้อน และอาจนำไปสู่โรคที่เกิดจากน้ำ เช่น อหิวาตกโรคหรือไวรัสตับอักเสบเอ

ภาวะโลกร้อนยังเป็นปัจจัยเร่งปัญหาอย่างน่ากังวล เมื่อน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว ได้เผยให้เห็นขยะจำนวนมากที่เคยถูกกลบฝังมานานหลายสิบปี เหมือนธรรมชาติกำลังส่งเสียงเตือนกลับมายังมนุษย์

ความพยายามในการแก้ไขที่ต้องก้าวให้ไกลกว่าเดิม

รัฐบาลเนปาลพยายามรับมือกับปัญหาขยะด้วยมาตรการต่างๆ หนึ่งในนั้นคือการเก็บเงินมัดจำจากนักปีนเขา 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะคืนให้เมื่อสามารถนำขยะกลับลงมาได้อย่างน้อย 8 กิโลกรัม ในปี 2019 ยังมีโครงการระดมกำลังเก็บขยะครั้งใหญ่โดยตั้งเป้ากำจัดขยะ 10,000 กิโลกรัมจากพื้นที่ภูเขา

นอกจากมาตรการภาครัฐ องค์กรต่างๆ ก็มีบทบาทสำคัญ เช่น คณะกรรมการควบคุมมลพิษสการ์มาธา (SPCC) ซึ่งก่อตั้งโดยชาวเชอร์ปาในปี 1991 เพื่อดูแลพื้นที่ขุมบูให้สะอาด และมีระบบจัดการขยะที่เหมาะสม ขณะเดียวกัน โครงการ “Saving Mount Everest” ซึ่งมีช่างภาพมาร์ติน เอดสตรอมร่วมบันทึกภาพไว้ในช่วงปี 2011–2014 ก็ได้จุดประกายความตระหนักรู้ต่อสาธารณะ

ในปี 2021 องค์กรพัฒนาเอกชนชื่อ “Sagarmatha Next” ได้ร่วมมือกับเอดสตรอมเปิดศูนย์ความยั่งยืนที่ Namche Bazaar เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์และศูนย์เรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดันการเปลี่ยนขยะเป็นงานศิลป์ ขณะเดียวกัน โครงการ “Mount Everest Biogas” กำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่เปลี่ยนของเสียจากมนุษย์ให้กลายเป็นพลังงานสะอาดที่ใช้ได้จริงในหมู่บ้าน

แม้แต่เทคโนโลยีอย่าง “โดรน” ก็ถูกนำมาใช้เพื่อขนย้ายขยะจากจุดที่มนุษย์เข้าถึงยาก แต่ทุกความพยายามนี้ยังคงสู้ไม่ทันกับจำนวนนักปีนเขาที่เพิ่มขึ้นในทุกฤดูปีน

เส้นทางสู่ยอดเขา: การเดินทางที่อาจไม่มีวันกลับ

การปีนเอเวอร์เรสต์ไม่ใช่แค่เรื่องความพยายามหรือชื่อเสียง แต่ยังเป็นการเดิมพันด้วยชีวิต ในพื้นที่ที่สูงเกิน 8,000 เมตร หรือที่เรียกว่า “โซนมรณะ” (Death Zone) ร่างกายมนุษย์แทบไม่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างยาวนาน เนื่องจากความดันอากาศลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสามของระดับน้ำทะเล ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนอย่างเฉียบพลัน

นักปีนเขาที่ไม่ปรับตัวให้ช้าและเหมาะสม อาจประสบภาวะโรคแพ้ความสูงอย่างรุนแรง เช่น ปอดบวมน้ำ (HAPE) หรือสมองบวมน้ำ (HACE) ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากพายุหิมะ รอยแยกในธารน้ำแข็ง และอุบัติเหตุจากหิมะถล่ม โดยเฉพาะเหตุการณ์ในปี 1996 และ 2014 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในเวลาอันสั้น

จนถึงปัจจุบัน มีผู้เสียชีวิตบนเอเวอร์เรสต์แล้วกว่า 300 ราย โดยร่างส่วนใหญ่ยังคงอยู่ใต้หิมะและน้ำแข็ง เนื่องจากการกู้ร่างลงมาเป็นเรื่องที่อันตรายและมีค่าใช้จ่ายสูงมาก บางศพจึงกลายเป็นจุดสังเกตหรือจุดพักของนักปีนคนอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เชอร์ปา: เสาหลักของทุกภารกิจ

ชาวเชอร์ปาคือหัวใจสำคัญของทุกการเดินทางสู่ยอดเขา พวกเขาเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สูงของเนปาล และมีความสามารถทางร่างกายในการปรับตัวต่อสภาพออกซิเจนต่ำได้อย่างดีเยี่ยม งานของเชอร์ปาไม่ได้มีแค่การนำทางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการขนสัมภาระหนัก สร้างค่ายพัก ปูเส้นทางด้วยเชือกและบันได และที่สำคัญคือ “ช่วยชีวิต” นักปีนเขาในยามฉุกเฉิน

แม้งานของเชอร์ปาจะมีรายได้ประมาณ 2,500–5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อฤดูกาล ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยในท้องถิ่น แต่ความเสี่ยงที่พวกเขาเผชิญนั้นก็สูงไม่แพ้กัน เชอร์ปาหลายคนเสียชีวิตระหว่างการทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่แทบไม่มีชื่ออยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ของผู้พิชิตยอดเขา

 

ต้นทุนของการพิชิต: ไม่ใช่แค่แรงใจ แต่คือเงินก้อนโต

การปีนเอเวอร์เรสต์ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก นอกจากค่าใบอนุญาตจากรัฐบาลเนปาลที่อยู่ที่ 11,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว นักปีนเขายังต้องจ่ายค่าบริการให้กับบริษัททัวร์ซึ่งครอบคลุมลูกหาบ อาหาร ค่ายพัก และไกด์เชอร์ปา โดยอยู่ในช่วง 40,000–100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคน หากรวมค่าอุปกรณ์และประกันภัย ค่าใช้จ่ายรวมอาจสูงถึง 130,000 ดอลลาร์ หรือราว 4.5 ล้านบาท

แม้ราคานี้จะสูงลิ่ว แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งผู้คนจากทั่วโลกที่มุ่งหน้าสู่ยอดเขาได้

สู่อนาคตที่ยั่งยืนของ “เทพมารดาแห่งโลก”

เอเวอร์เรสต์คือบททดสอบที่ท้าทายที่สุดของมนุษย์ เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ ความเพียร และแรงบันดาลใจ ทว่าการปีนขึ้นไปโดยละเลยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตผู้อื่น กลับกลายเป็นการทำลายภูเขานี้ทีละน้อย

การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนบนเอเวอร์เรสต์ ไม่ได้หมายถึงการห้ามปีนเขา แต่คือการพัฒนาแนวทางที่รับผิดชอบต่อธรรมชาติ เคารพผู้คนในท้องถิ่น และปกป้องขุนเขาศักดิ์สิทธิ์นี้ให้คงอยู่เป็นสมบัติของโลกไปอีกหลายชั่วรุ่น

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

 

 

อ่านบทความเพิ่มเติม