เปิด 6 เทคโนโลยี AI ช่วย SME ไทยลดก๊าซเรือนกระจก พลิกวิกฤตโลกร้อนอย่างยั่งยืน

เปิด 6 เทคโนโลยี AI ช่วย SME ไทยลดก๊าซเรือนกระจก พลิกวิกฤตโลกร้อนอย่างยั่งยืน

ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังทวีความรุนแรง เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเผยให้เห็นศักยภาพอันน่าทึ่งในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่กำลังมองหาแนวทางในการปรับตัวอย่างยั่งยืน

เทคโนโลยี AI นี้ไม่ได้ช่วยให้ SME ลดก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้นทุกวัน มาดูกันว่าเราสามารถนำ เทคโนโลยี AI มาช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในธุรกิจอย่างไรบ้าง?

 

 

AI กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

AI คือเทคโนโลยีที่สามารถเรียนรู้และประมวลผลข้อมูลได้คล้ายมนุษย์ โดยมีการใช้งานในหลากหลายสาขา เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การจดจำรูปภาพ และการประมวลผลทางภาษา เทคโนโลยีนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลและการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพใน 5 ด้านหลัก ได้แก่

โดยสามารถนำ AI มาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านการใช้ AI ช่วยใน 5 เรื่องหลัก ๆ ดังนี้

 

  1. การวิเคราะห์ข้อมูลสภาพภูมิอากาศ: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่จากเซ็นเซอร์ต่าง ๆ เพื่อพยากรณ์แนวโน้มสภาพภูมิอากาศและเตือนภัยด้านสิ่งแวดล้อม
  2. การจัดการพลังงาน: AI ช่วยในกระบวนการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การใช้พลังงานในอุตสาหกรรมลดลง
  3. การตรวจจับและควบคุมการปล่อยมลพิษ: ด้วยเทคโนโลยีเซ็นเซอร์และการเรียนรู้ของเครื่อง ทำให้สามารถตรวจจับและลดการปล่อยมลพิษได้
  4. การคาดการณ์และจัดการน้ำ: AI ช่วยคาดการณ์ภัยน้ำท่วมและบริหารการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
  5. การพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว: AI สนับสนุนการวิเคราะห์และพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 


 

AI ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างไร?

 

สำหรับการนำ AI มาใช้แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างการใช้ 6 เทคโนโลยี AI ในการลดก๊าซเรือนกระจก ได้แก่

 

  1. AI ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกภาคอุตสาหกรรม

 

การนำ AI และ IoT เข้ามาพัฒนาระบบการทำงาน ช่วยให้ทำงานคล่องตัว ทุ่นแรง ตรวจจับข้อบกพร่อง คาดการณ์การซ่อมบำรุง มีความปลอดภัยในการทำงาน ทำให้มีความถูกต้องแม่นยำในกระบวนการผลิต ข่วยลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้ทรัพยากร ลดการใช้พลังงาน ลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยกตัวอย่าง การนำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมโลหะและเหมืองแร่ น้ำมันและก๊าซ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในการดำเนินงาน โดย Eugenie.ai ซึ่งตั้งอยู่ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ได้พัฒนาแพลตฟอร์มติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่รวมภาพถ่ายดาวเทียมเข้ากับข้อมูลจากเครื่องจักรและกระบวนการต่าง ๆจากนั้น AI จะวิเคราะห์ข้อมูลนี้เพื่อช่วยให้บริษัทต่างๆ ติดตาม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 20-30% ภาคอุตสาหกรรมสร้างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 30% ทั่วโลก

 

 

  1. AI ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกภาคการเกษตร

วันนี้การทำเกษตรยุคใหม่ ได้พัฒนาจากแบบดั่งเดิม เป็นระบบเกษตรอัจฉริยะ หรือ Smart Farm โดยมีการนำอุปกรณ์ดิจิทัลต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ อาทิ ระบบควบคุมการให้น้ำอัตโนมัติ ที่มีเซนเซอร์ตรวจวัดความชื้น เพื่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ และใช้เทคโนโลยี AI ทำการวิเคราะห์ เปรียบเทียบ ตัดสินใจในการปรับปริมาณการให้น้ำอย่างเหมาะสม ตลอดจนการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้กับเครื่องจักรทางการเกษตร เพื่อให้มีความสามารถละเอียด แม่นยำ มีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการผลิต ลดของเสียที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

 

ยกตัวอย่าง โดรนการเกษตร ที่ออกแบบจาก Pain Point ของเกษตรกรไทย ที่สามารถระบุพื้นที่แบบไร่ งาน หรือตารางวาได้ทำให้เกษตรกรทำงานง่ายขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการฟาร์มเกษตร ช่วยประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่าย แต่ได้คุณภาพและปริมาณผลผลิตที่สูงขึ้น

 

Cr. ภาพ : www.greyparrot.ai

 

  1. การใช้ AI เพื่อรีไซเคิลขยะ

 

สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ของเสียจากผู้ผลิตก๊าซมีเทนรายใหญ่ มีส่วนทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ถึง 16% ทั่วโลก ระบบ AI จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยจัดการขยะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

โดยบริษัท Greyparrot สตาร์ทอัพซอฟต์แวร์ในลอนดอน สหราชอาณาจักร ได้พัฒนาระบบ AI ที่สามารถวิเคราะห์ขยะต่าง ๆ โรงงานแปรรูปและรีไซเคิลของเสีย ได้เกือบ 100% เพื่อช่วยกู้คืนและรีไซเคิลวัสดุเหลือใช้มากขึ้น โดยติดตั้งกล้องไว้เหนือสายพานลำเลียงขยะกว่า 50 แห่งในยุโรป และซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพที่ซับซ้อน มันสามารถวิเคราะห์ของเสียได้แบบเรียลไทม์ช่วยให้สามารถระบุและคัดแยกวัสดุเหลือใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

Cr. ภาพ : www.greyparrot.ai

 

ปัจจุบัน เทคโนโลยี AI ดังกล่าวสามารถติดตามขยะได้ปีละกว่า 32,000 ล้านชิ้น และยังพัฒนาแผนที่ขยะแบบดิจิทัลด้วย ทำให้นักจัดการขยะสามารถนำไปใช้ปรับปรุงระบบที่ตัวเองดูแลอยู่ได้ด้วย ซึ่งเขาระบุว่า สามารถแยกวัสดุโดยเฉลี่ย 86 ตัน ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แทนที่จะถูกส่งไปยังสถานที่ฝังกลบอย่างเปล่าประโยชน์

 

Cr. ภาพ : www.gistda.or.th

 

  1. AI ช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่า และคำนวณคาร์บอนที่สะสมในป่า

 

AI ถูกนำมาใช้ ภาพถ่ายดาวเทียม และระบบนิเวศ เพื่อจัดทำแผนที่ผลกระทบของการตัดไม้ทำลายป่าต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศสกอตแลนด์ กล่าวว่าบริษัทดำเนินงานในกว่า 30 ประเทศ และได้ทำแผนที่พื้นที่มากกว่า 1 ล้านเฮกตาร์จากอวกาศโดยใช้ข้อมูลดาวเทียม เทคโนโลยีของบริษัทวัดการวัดจากระยะไกล อย่าง อัตราการตัดไม้ทำลายป่า และคำนวณปริมาณคาร์บอนที่สะสมอยู่ในป่าได้ด้วย

 

Cr.ภาพ : theoceancleanup.com

 

  1. AI ทำความสะอาดมหาสมุทร

 

ในประเทศเนเธอร์แลนด์ องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมชื่อ The Ocean Cleanup กำลังใช้ AI และเทคโนโลยีอื่น ๆ เพื่อช่วยกำจัดมลพิษพลาสติกจากมหาสมุทร ซึ่ง AI จะตรวจจับวัตถุช่วยให้องค์กรสร้างแผนที่รายละเอียดของขยะในมหาสมุทรในสถานที่ห่างไกล ขยะในมหาสมุทรสามารถรวบรวมและกำจัดออกได้ ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีการทำความสะอาดแบบเดิม ที่ใช้เรือลากอวนในการเก็บขยะ

 

Cr.ภาพ : theoceancleanup.com

 

สำหรับสมรรถนะของเรือดักเก็บขยะอัตโนมัติ Interceptor สามารถดักเก็บขยะอัตโนมัติโดยการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และช่วยลดปริมาณขยะในแม่น้ำที่จะไหลลงสู่ทะเลได้ถึง 60%

 

ไม่เพียงเท่านั้นขยะที่เก็บได้จะถูกนำมาคัดแยกอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการตามแนวทางของเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ซึ่งเป็นอีกหนึ่งก้าวของการแก้ปัญหาขยะทะเล ที่จะช่วยลดมลภาวะในแม่น้ำที่จะเกิดปัญหาต่อสัตว์ทะเลได้

 

Cr.ภาพ : theoceancleanup.com

 

ทั้งนี้ เรื่อ Interceptor สามารถดักเก็บขยะจากแม่น้ำเจ้าพระยาได้มากที่สุดถึง 100,000 ชิ้นต่อวัน ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง อาศัยพลังงานจากแสงอาทิตย์ที่ถูกจัดเก็บสำรองพลังงานไว้ที่แบตเตอรี่ จึงปราศจากเสียงและกลิ่นรบกวน เป็นมิตรกับสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการมีระบบตรวจสอบการทำงานที่มีประสิทธิภาพผ่านทางออนไลน์ 📍พร้อมทั้งคาดประเมินว่าจะสามารถสกัดขยะพลาสติกได้ประมาณ 1 ล้านกิโลกรัมต่อปี

 

 

  1. AI ช่วยตรวจจับภูเขาน้ำแข็งกำลังละลายที่ไหน และเร็วแค่ไหน

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลีดส์ในสหราชอาณาจักร กล่าวว่า AI สามารถทำแผนที่ภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ในแอนตาร์กติกด้วยภาพถ่ายดาวเทียมได้ในเวลาเพียง1 ใน 100 วินาที องค์การอวกาศยุโรป รายงานว่า สำหรับมนุษย์ ใช้เวลานาน และเป็นการยากที่จะระบุภูเขาน้ำแข็งกลางเมฆสีขาวและน้ำแข็งในทะเล ซึ่ง AI สามารถวัดการเปลี่ยนแปลงในภูเขาน้ำแข็งได้เร็วกว่ามนุษย์ถึง 10,000 เท่า

โดยการประมวลผลที่รวดเร็วจาก AI ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถตรวจสอบ และคำนวณการไหลเข้าของน้ำจืด การเพิ่มหรือลดปริมาณน้ำในมหาสมุทร ที่มีผลทำให้ภูเขาน้ำแข็งหดตัวหรือขยายเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล

 

 

ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่าง การนำ AI มาใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในธุรกิจ SME เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่สามารถช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในอนาคต ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ในหลากหลายด้าน ช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2608 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ SME มีบทบาทสำคัญในการร่วมมือกันลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนต่อไป

 

อ้างอิง

World economic forum

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

https://www.springnews.co.th/keep-the-world/climate-change/847946

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล

https://www.depa.or.th/th/article-view/Digital-technology-wallet-global-warming-privileges

https://www.voathai.com/a/ai-helps-map-and-track-giant-icebergs-from-space/7493850.html

https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9670000027226

https://www.springnews.co.th/keep-the-world/sustainable/840851

https://theoceancleanup.com/oceans/

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

โลกร้อน ขยะ และ PM2.5 ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่คนไทยกังวลในปี 2567