เนสกาแฟในไทยเจอวิกฤติ! ศาลสั่งห้ามผลิต-จำหน่าย กระทบผู้บริโภค ผู้ค้ารายย่อย และเกษตรกร

เนสกาแฟในไทยเจอวิกฤติ! ศาลสั่งห้ามผลิต-จำหน่าย กระทบผู้บริโภค ผู้ค้ารายย่อย และเกษตรกร

 

 

เนสท์เล่เผชิญคำสั่งศาล ห้ามดำเนินธุรกิจเนสกาแฟในไทยชั่วคราว 

ศึกข้อพิพาทกับอดีตพันธมิตรป่วนตลาด ผู้บริโภค-ร้านค้าปลีก-เกษตรกรรับผลกระทบ บริษัทเดินหน้ายื่นคัดค้าน ยืนยันสิทธิในแบรนด์ พร้อมย้ำไม่ทิ้งประเทศไทย

 

 

บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์กาแฟชื่อดัง “เนสกาแฟ” ซึ่งดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 52 ปี และถือเป็นหนึ่งในแบรนด์กาแฟสำเร็จรูปที่มีอิทธิพลมากที่สุดในตลาดไทย กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อ ศาลแพ่งมีนบุรีมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามไม่ให้บริษัทฯ ดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เนสกาแฟในประเทศไทย ตั้งแต่การผลิต ว่าจ้างผลิต นำเข้า และจำหน่าย

คำสั่งศาลดังกล่าวมีผลในทันที ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2568 เป็นต้นไป ส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทาน ผู้บริโภคทั่วไป ผู้ค้า รวมถึงเกษตรกรไทยจำนวนมาก

 

 

จุดเริ่มต้นของข้อพิพาท: ความขัดแย้งกับอดีตพันธมิตรธุรกิจ

ข้อพิพาทดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากความขัดแย้งระหว่างเนสท์เล่กับ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ซึ่งเคยเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเนสท์เล่และนักธุรกิจไทย นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ โดยในอดีต QCP มีบทบาทในการผลิตกาแฟให้กับเนสท์เล่ในประเทศไทย

เนสท์เล่ได้แจ้งยุติความร่วมมือกับ QCP ตั้งแต่ปี 2564 และมีผลบังคับทางกฎหมายอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยการยุติสัญญานี้มีผลจากคำชี้ขาดของศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การเจรจาระหว่างหุ้นส่วนเดิมของ QCP ไม่สามารถตกลงเรื่องการดำเนินธุรกิจในอนาคตได้ ทำให้เนสท์เล่จำเป็นต้องยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้เพื่อขอเลิกบริษัท

 

นายเฉลิมชัยตอบโต้ ยื่นฟ้องคดีแพ่ง 2 คดี ขอคุ้มครองชั่วคราว

ในอีกฟากหนึ่ง นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ได้ดำเนินการฟ้องร้องบริษัทในเครือเนสท์เล่ รวมถึงกรรมการบริษัททั้งหมด รวม 2 คดี พร้อมทั้งร้องขอต่อศาลแพ่งมีนบุรีให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เพื่อระงับการดำเนินธุรกิจของเนสท์เล่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ

ศาลแพ่งมีนบุรีจึงมีคำสั่งชั่วคราว เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ห้ามมิให้เนสท์เล่กระทำการเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ ไม่ว่าจะเป็นการผลิต นำเข้า จำหน่าย หรือว่าจ้างผลิต เป็นการชั่วคราวในระหว่างที่คดียังอยู่ในกระบวนการพิจารณา

 

 

เนสท์เล่เตรียมยื่นคัดค้านคำสั่งศาล ยืนยันความถูกต้องตามกฎหมาย

ภายหลังคำสั่งศาลดังกล่าว เนสท์เล่ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเคารพต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย และยืนยันว่า บริษัทกำลังดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย โดยจะยื่นคำคัดค้านต่อศาลแพ่งมีนบุรี พร้อมจัดเตรียมข้อมูลและหลักฐานทั้งหมด เพื่อพิสูจน์ว่าเนสท์เล่เป็นเจ้าของสิทธิในเครื่องหมายการค้า “เนสกาแฟ” รวมถึงเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตมาโดยชอบ

บริษัทระบุเพิ่มเติมว่า การหยุดชะงักของการดำเนินงานตามคำสั่งศาลส่งผลกระทบอย่างมากต่อกิจกรรมทางธุรกิจทั้งระบบ โดยเฉพาะคู่ค้า ซัพพลายเออร์ และผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมาก

 

ผู้บริโภคและผู้ค้าปลีกได้รับผลกระทบทันที

คำสั่งศาลมีผลให้เนสท์เล่ไม่สามารถรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจากร้านค้าปลีกได้ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2568 เป็นต้นไป แม้ว่าสินค้าที่มีอยู่ในสต๊อกของร้านค้ายังคงสามารถจำหน่ายได้ตามปกติ

อย่างไรก็ตาม ร้านค้าจำนวนมากเริ่มวิตกกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนสินค้า และบางรายเริ่มมีการเก็บสต๊อกเพิ่ม หรือเร่งเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่นแทน ทำให้สถานการณ์ในตลาดกาแฟเริ่มสั่นคลอน

ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มที่ผูกพันกับรสชาติและสูตรเฉพาะของเนสกาแฟ อาจต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลง หรือจำใจเปลี่ยนแบรนด์ในช่วงเวลาอันใกล้นี้

 

 

ร้านกาแฟเล็กรถเข็น-แม่ค้าตลาดเช้าได้รับผลกระทบโดยตรง

หนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักคือร้านกาแฟขนาดเล็ก รถเข็นขายกาแฟ แม่ค้าตามตลาดเช้า และร้านในชุมชนต่าง ๆ ที่ใช้เนสกาแฟเป็นวัตถุดิบหลัก โดยต้องปรับสูตรการชงและเลือกวัตถุดิบใหม่ ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลต่อรสชาติ แต่ยังรวมถึงต้นทุนและความพึงพอใจของลูกค้าด้วย

ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากอาจสูญเสียรายได้ทันที หากลูกค้าไม่พอใจกับการเปลี่ยนสูตร หรือหากไม่สามารถจัดหาวัตถุดิบทดแทนได้ทัน

 

ซัพพลายเออร์-เกษตรกรไทยเผชิญแรงสะเทือน

ในระดับต้นน้ำ กลุ่มเกษตรกรที่เคยจำหน่ายเมล็ดกาแฟโรบัสต้าให้เนสกาแฟ รวมถึงเกษตรกรโคนมผู้ผลิตนมผงที่ใช้ในกาแฟ ก็กำลังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

เนสกาแฟเป็นผู้รับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้าภายในประเทศมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตรวมในแต่ละปี การหยุดดำเนินธุรกิจอย่างกะทันหันจึงหมายถึงรายได้จำนวนมหาศาลที่หายไปจากภาคเกษตรกรรมโดยตรง

 

 

กรมการค้าภายในจับตาสถานการณ์ สั่งคุมราคากาแฟเข้ม

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า แม้กาแฟจะไม่ใช่สินค้าควบคุมตามบัญชีของกระทรวงพาณิชย์ แต่ทางกรมฯ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบการจำหน่ายกาแฟอย่างใกล้ชิด

จากการตรวจสอบในหลายจังหวัด ยังไม่พบปัญหาการขาดแคลนสินค้า หรือการขึ้นราคาผิดปกติ อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้ร้านค้าทุกร้านติดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน และขอความร่วมมืออย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาโดยไม่มีเหตุผล

หากพบว่ามีการกระทำผิด อาทิ ไม่ปิดป้ายแสดงราคา หรือจำหน่ายสินค้าเกินราคา จะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และหากมีการกักตุนสินค้า มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยสามารถแจ้งเบาะแสผ่านสายด่วน 1569 และไลน์ @MR.DIT ได้ตลอดเวลา

 

 

ตลาดแข่งเดือด ผู้ค้าหันพึ่งแบรนด์อื่น สินค้าทดแทนกำลังมาแรง

จากสถานการณ์ดังกล่าว ร้านค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งได้เริ่มนำผลิตภัณฑ์กาแฟแบรนด์อื่นเข้ามาจำหน่ายแทนเนสกาแฟ พร้อมจัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่องเพื่อจูงใจลูกค้า เช่น โอวัลติน, เบอร์ดี้, มอคโคน่า, ดอยช้าง และแบรนด์กาแฟไทยอื่น ๆ

บริษัทที่มีสินค้าทดแทนต่างเร่งโอกาสในการขยายส่วนแบ่งตลาด ขณะที่ผู้บริโภคอาจต้องปรับตัวทั้งในแง่รสชาติ ราคา และความพึงพอใจส่วนตัว

 

เนสท์เล่ยืนยันเดินหน้าสู้ทางกฎหมาย และไม่ทิ้งประเทศไทย

เนสท์เล่ยืนยันว่าจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างโปร่งใส และเร่งดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด โดยบริษัทมีประวัติการลงทุนในประเทศไทยมายาวนานกว่า 130 ปี และได้ลงทุนในประเทศรวมกว่า 22,800 ล้านบาทในช่วงปี 2561 – 2567

ทั้งนี้ บริษัทขอขอบคุณลูกค้า คู่ค้า เกษตรกร และผู้บริโภคชาวไทยทุกคนที่ให้การสนับสนุนเสมอมา พร้อมย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

 

 

ที่มาภาพ :

https://www.wongnai.com/reviews/770f91f272f44a4380c06a2dece4778e

ภาพถ่ายโดย Alari Tammsalu