ถอดโมเดล 50 ปี! ‘ฮิลล์คอฟฟ์’ พัฒนา กาแฟคาร์บอนต่ำ สู่ ‘Coffogenic Drink’ เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ได้อย่างไร?

ถอดโมเดล 50 ปี! ‘ฮิลล์คอฟฟ์’ พัฒนา กาแฟคาร์บอนต่ำ สู่ ‘Coffogenic Drink’ เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ได้อย่างไร?

ถอด Sustainable Business Model ‘ฮิลล์คอฟฟ์’ เมื่อ ‘กาแฟ’ เป็นมากกว่าเครื่องดื่มคาเฟอีน เพื่อความรื่นรมณ์ สดชื่น กระปรี้กระเปร่า เพราะวันนี้ ฮิลล์คอฟฟ์ ได้พลิกโฉมกาแฟให้กลายเป็น ‘เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ’ ช่วยลดการสะสมไขมันไม่ดีในร่างกาย ที่อาจเป็นสาเหตุนำไปสู่การเกิดโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวันที่เราคาดไม่ถึง

 

วันนี้ขอพาทุกคนไปทำความรู้จัก คุณนฤมล ทักษอุดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิลล์คอฟฟ์ จำกัด เจ้าของธุรกิจกาแฟครบวงจรแห่งจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีโมเดลธุรกิจในการพัฒนาคนในชุมชนให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากผลผลิตทางการเกษตร ส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อปรับใช้ในการผลิต ทั้งยังมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจกาแฟควบคู่ไปกับการใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

 

 

จุดเริ่มต้นจากอยากแก้ปัญหา ภูเขาหัวโล้น

 

คุณนฤมล ทักษอุดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิลล์คอฟฟ์ จำกัด เปิดเผยว่า ดำเนินธุรกิจกาแฟนี้มากว่า 50 ปีแล้ว โดยตนเป็นเจนที่ 2 เริ่มมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ที่นำเมล็ดพันธ์กาแฟเข้ามา เพราะมองเห็นปัญหาภูเขาหัวโล้นทางภาคเหนือ ที่มีการตัดไม้ทำลายป่า ทำไร่เลื่อนลอย และชาวเขาผู้อพยพเข้ามาสร้างรายได้โดยการปลูกฝิ่น จนทำให้เกิดปัญหายาเสพติด และความยากจน จึงมองว่าการปลูกกาแฟน่าจะตอบโจทย์นี้ได้ แต่เราก็ยังเผชิญปัญหาสภาพแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันรุนแรงมากขึ้น จากการเผาป่าจนเกิดปัญหาหมอกควัน PM2.5 ตามมา

 

“เรามองเห็นความบิดเบี้ยวในการพัฒนา เลยมาคิดว่า เราคนตัวเล็ก ๆ ที่เป็นธุรกิจชุมชนเกษตรฐานราก จะอยู่รอดอย่างยั่งยืนได้อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาธุรกิจกาแฟเราเติบโตมาก แต่อาจจะไม่ยั่งยืน เนื่องจากกาแฟเป็นพืชที่อ่อนแอต่อ Climate Change มาก ถ้าอย่างนั้นเราลองมาสร้างโมเดลกาแฟที่ยั่งยืนดีกว่า”

 

 

สร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจกาแฟ

 

คุณนฤมล กล่าวว่า ในอดีตเราต้องไปซื้อกาแฟเขากิน แต่วันนี้เราปลูกกาแฟได้เองแล้ว แต่ก็ยังไม่พอต้องนำเข้า จึงทำให้ไม่เกิดความยั่งยืน จึงสร้างโมเดลที่ยั่งยืนในแบบตัวเอง แต่ต้องรอการพิสูจน์ ซึ่งเราพบว่า ทรัพยากรกาแฟ 100%  ถูกนำไปใช้เพียงแค่ 50% เท่านั้น เราเป็นประเทศผู้ปลูกกาแฟ น่าจะรู้จักกาแฟดีกว่าประเทศที่เขาไม่ได้ปลูกกาแฟ แต่เขายกทรัพยากรนี้ข้ามประเทศไปคั่วไปดื่มกัน ซึ่ง ‘ฮิลล์คอฟฟ์’ อยู่ในวงการกาแฟมากว่า 50 ปี แต่เทรนด์ต่าง ๆ ที่เข้ามาเป็นของต่างประเทศทั้งนั้น ยกอย่างเช่น กาแฟ Expresso ที่ทำให้เกิดคาเฟ่ Espresso มากมาย หรือ แคปซูล, Cold Brew, กาแฟดริปต่าง ๆ ที่เราเห็นกันในตลาดเยอะแยะมากมาย เราไม่ได้เป็นคนคิดเทรนด์นี้ แต่เราเดินตามเขามาโดยตลอด

แต่พอมาดูทรัพยากรที่เกี่ยวกับการเติบโตของกาแฟ ส่วนใหญ่เขาจะสนใจแต่เรื่องของ BEAN แต่ในกาแฟนั้น ยังมีส่วนอื่นที่น่าสนใจมากกว่านี้ เราเลยให้ความสำคัญกับทรัพยากรที่คนอื่นไม่ใช้ แล้วมุ่งมั่นว่า ถ้าเราสามารถเพิ่มมูลค่าให้ทรัพยากรที่เรามีได้ ธุรกิจนี้จะเกิดความยั่งยืนมากขึ้น จึงทำให้เกิดการวิจัยและพัฒนามากมาย

เราจึงเลือก ‘Coffogenic Drink’ มาเป็นพระเอก โดยใช้ทุนไปกับการวิจัยอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะยาก ทุกคนในสังคมไม่ยอมรับว่ามันจะเป็นอาหารได้ รวมไปถึงอย. ด้วย

 

“เราใช้เวลาเกือบ 10 ปี ตั้งแต่คิดที่จะทำ จนถึงวันที่เขาอนุญาตให้ขายได้ อาจจะไม่เคยได้ยินว่าผลิตภัณฑ์อะไรที่ต้องผ่านศูนย์ประเมินความเสี่ยงประเทศไทย ซึ่งเราผ่านมาถึง 3 ชุดกรรมการ และยังได้รับ อย. Quality Award ด้วย ได้ขึ้นทะเบียนเป็น Novel Food มันเหมือนเราอยู่ในหุบเขาแห่งความมืดมิด พอปีนขึ้นมาได้แล้ว เหมือนพบโลกใบใหม่ที่มีความสดใส ได้รับการยอมรับที่ชัดเจน เรานำผลิตภัณฑ์ไปประกวด เราก็ได้ที่ 1 จากผลงาน 600 กว่าผลงาน ถือเป็นการตอกย้ำการยอมรับของผลิตภัณฑ์นี้ได้เป้นอย่างดี”

 

 

โรงงานกาแฟสีเขียว กับ Sustainable Business Model

 

ทราบหรือไม่ว่า ในมุมหนึ่ง ‘กาแฟ’ กำลังถูกกีดกันและถูกมองว่าเป็นพืชที่ทำลายป่า คุณนฤมล อธิบายว่า จากวันที่โรงงานของเราย้ายไปอยู่ที่อำเภอแม่แตง ในพื้นที่มีเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดที่อยากปลูกกาแฟ จึงปลูกโดยที่ไม่มีความรู้ เราจึงเข้าไปสอนเขา ในการพัฒนาธุรกิจต้องมีเป้าหมาย ‘ฮิลล์คอฟฟ์’ มีแนวคิดในการสร้างโมเดลธุรกิจแบบยั่งยืน (Sustainable Business Model) ซึ่งความยั่งยืนไม่ได้เกิดจากการเข้าไปส่งเสริมเกษตรกรเท่านั้น แต่ต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ควบคู่ไปด้วย

 

   “เราลงทุนกับงานวิจัยสูงมาก การวางตำแหน่งธุรกิจของเราอาจจะต่างจากธุรกิจทั่วไป เพราะเราเน้นเรื่องธุรกิจสีเขียว และเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โรงงานเราเป็น Zero Waste 100% นอกจากนี้เราทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) โปรดักส์ มีโรงงานแบบ Deduction”

 

 

 

ดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับชุมชนได้

 

คุณ นฤมล กล่าวว่า สำหรับการดูแลชุมชน ‘ฮิลล์คอฟฟ์’ เน้นการส่งเสริมกาแฟอินทรีย์ (Organic Coffee Farming) เพราะฉะนั้นราคากาแฟอินทรีย์จึงสูงกว่ากาแฟทั่วไป เนื่องจากเราต้องใช้เนื้อผลกาแฟ เราต้องการความปลอดภัย ไม่มีโลหะหนักในเนื้อผลกาแฟเหล่านั้น ปัจจุบันเราเซ็น MOU กับสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง(องค์การมหาชน) หรือ สวพส. เพื่อสร้างตลาดใหม่ คือตลาดรับซื้อเนื้อผลกาแฟ ซึ่งทำMOU ไว้ 616 หมู่บ้าน และกำลังเริ่มดำเนินการหมู่บ้านแรก ในเรื่องของแยกออกมาเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์

เมื่อก่อนเกษตรกรจะเอาเนื้อทิ้งไป ขายแต่เมล็ดกาแฟ แต่ปัจจุบันเราเอาเทคโนโลยีเข้าไป แล้วทดสอบเพื่อแปรรูป โดยเรามุ่งมั่นว่า ถ้าเรามีโมเดลแบบนี้ เกษตรกรก็ไม่จำเป็นต้อง เผาป่า ถางป่า เพื่อขยายพื้นที่ปลูก แล้วเด็ก และผู้หญิงในครอบครัว สามารถช่วยกันเป็นอาชีพที่เสริมรายได้กับครอบครัวได้ด้วย

 

 

 

 

จริงหรือไม่?การปลูกกาแฟ ช่วยลด PM 2.5 ได้

 

เราจัดการเรื่อง Waste จากกระบวนการผลิต 100% ไม่ว่าจะเป็น การหมัก การคั่วกาแฟ  รวมถึงน้ำเสีย ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก เราจึงศึกษาเรื่องการจัดการ Waste ต่าง ๆ โดยเราเน้นเรื่องการหมุนเวียนทรัพยากร เรื่องของการ เปลี่ยนขยะให้เป็น (Circular Upcycling) ซึ่งเราทำครบหมดทุกกระบวนการแล้ว ทั้งส่วนที่กินได้และกินไม่ได้

ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่จากการหมุนเวียนทรัพยากร ที่สำคัญที่ ฮิลล์คอฟฟ์ เราไม่ใช่แค่ปลูกกาแฟให้ได้ผลผลิตดี แต่ยังมองว่า “ดิน” และ “ระบบนิเวศ” คือหัวใจหลักที่ต้องดูแล โดยใช้ Biochar และ Koff CPS (Coffee Pulp Simulator) ที่เกิดจากการที่เราเอากากกาแฟ มาเปลี่ยนสภาพเพื่อเสริมความอุดมสมบูรณ์ในดิน ช่วยให้ดินเก็บน้ำและธาตุอาหารได้ดีขึ้น และฟื้นฟูสภาพดินให้สามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากขึ้น ด้วยเทคนิคการปลูกพืชหมุนเวียนและระบบพืชคลุมดิน (Cover Cropping & Polyculture) ช่วยลดการชะล้างหน้าดิน และลดการใช้สารเคมี

ทำให้เราไม่ต้องซื้อปุ๋ยใช้ แล้วก็การให้ปุ๋ยทางปากใบ เป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่ งซึ่งจะทำให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมหาศาล

 

 

ดื่มกาแฟ ‘ฮิลล์คอฟฟ์’ ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อนได้นะ!

 

คุณนฤมล ยังสะท้อนภาพอีกว่า กว่าจะออกมาเป็นกาแฟให้เราดื่มใน 1 แก้ว ต้องผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการปลูก การดูแล ซึ่งในกระบวนการนี้ก็ต้องใช้น้ำจำนวนมาก หรือบางที่ใช้ปุ๋ยเคมี ที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ต่อมาคือ การขนส่งก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ไม่น้อย เมื่อเรานำมาสกัด และทำเป็นเมนู ก็ต้องใช้น้ำ และอาจผสมนม ซึ่งในอุตสาหกรรมการผลิตนมจากสัตว์นั้น ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เยอะมากๆ ในกาแฟ 1 แก้วที่เราดื่ม จึงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่น้อยเลยทีเดียว

ดังนั้น ผู้บริโภคที่เริ่มหันมาสนใจการลดโลกร้อน จึงเลือกดื่มเมนูกาแฟที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น เช่น ใช้แก้วที่สามารถใช้ซ้ำได้ งดการใช้แก้วพลาสติกหรือแก้วกระดาษที่ทำให้เกิดขยะและการเผาทำลาย

เลือกดื่มเมนูกาแฟโดยใช้นมจากพืชมากขึ้น หรือที่เรียกว่านม Plant Based ไม่ว่าจะเป็น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ หรือนมข้าวโอ๊ต เนื่องจากกระบวนการผลิตนั้น การปลูกพืชและการผลิตนมจากพืช ใช้ปริมาณน้ำที่น้อยกว่าการเลี้ยงสัตว์และผลิตนมจากสัตว์หลายเท่า และในกระบวนการเลี้ยงสัตว์ยังมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมาก

ใช้เมล็ดกาแฟที่เป็นออแกนิค หรือเมล็ดกาแฟที่ได้รับเครื่องหมายการันตีว่า เป็นกาแฟรักษ์โลก  ซึ่งเมล็ดกาแฟ Thai Espresso Roast ของ ‘ฮิลล์คอฟฟ์’ ได้รับรางวัล ‘กาแฟรักษ์โลก’ เนื่องจากในกระบวนการผลิตนั้นปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงแค่ 2.14 kg CO / 500 g หรือ 4.18 kg CO/ 1 kg เท่านั้น ซึ่งในกระบวนการผลิตนั้นเราได้ใช้เมล็ดเชอร์รี่กาแฟให้คุ้มค่าที่สุด โดยคำนึงถึงพันธกิจเพื่อความยั่งยืน Zero Waste ขยะเป็นศูนย์ หรือกระบวนการผลิตที่ลดมลภาวะรอบด้าน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยกระบวนการผลิตกาแฟของ ‘ฮิลล์คอฟฟ์ นั้นใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

            เนื้อผลของเชอร์รี่กาแฟ ถูกคัดเกรด โดยเกรด x จะถูกนำไปทำเป็นปุ๋ย และเกรด A จะถูกนำไปผลิตเป็น ผลิตภัณฑ์ Food Supplement ที่ทางบริษัทได้ทำการร่วมมือกับนักวิจัยจนเกิดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมต่างๆขึ้นมา

            เมือก หรือส่วนที่ห่อหุ้มกะลากาแฟจะถูกเข้าสู่กระบวนการทำปุ๋ยน้ำ

            กะลากาแฟ จะถูกนำมาผลิตเป็นกระถางปลูก หรือเพาะกล้าไม้ ต้นไม้ขนาดเล็ก หลังจากนั้นเมื่อต้องการนำไปปลูกลงดินก็สามารถขุดปลูกทั้งกระถางได้เลยค่ะ กะลากาแฟจะถูกย่อยสลายตามธรรมชาติและกลายเป็นปุ๋ยให้ดินและต้นไม้ต่อไป

            ชาร์ปกาแฟ หรือส่วนของ Coffee Silverskin, กากกาแฟ จะถูกนำไปเข้าสู่กระบวนการผลิตแผ่นรองแก้ว ซึ่งสามารถใช้ซ้ำได้ ย่อยสลายง่าย

            เมล็ดกาแฟ จำหน่ายเป็นสาร Green Bean หรือ คั่วเป็นสินค้าต่างๆจำหน่าย

ในผลการวิจัย และผลการวัดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ของ CarbonCloud พบว่า ในเมล็ดกาแฟ 1 kg ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 8.9 kg CO และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกาแฟ Thai Espresso Roast Hillkoff จะได้ผลดังนี้

 

ผลการคำนวณพบว่าการเลือกใช้เมล็ดกาแฟ  Thai Espresso Roast Hillkoff สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ได้มากถึง 4.62 kg CO หรือช่วยลดไปมากกว่า 50% โดยเฉลี่ยปริมาณผงกาแฟที่ใช้ทำกาแฟ 1 แก้วในปัจจุบัน จะอยู่ที่ 18 g กาแฟ 1 kg ทำ Espresso Shot ได้ 56 แก้ว ซึ่ง Espresso Shot ถือเป็นเบสในการทำเมนูกาแฟต่างๆ หากใช้กาแฟปกติทั่วไปทำ จะมีค่า Carbon Footprint อยู่ที่ 0.16 kg CO แต่หากใช้ Thai Espresso Roast Hillkoff จะมีค่า Carbon Footprint อยู่แค่เพียง 0.07 kg CO ค่ะ และหากนำมาทำเป็นเมนูกาแฟต่างๆ จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ดังนี้

หากทานกาแฟ วันละ 1 แก้ว ในเวลา 1 ปี จะได้ค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 

จะเห็นได้ว่า หากเราเปลี่ยนใช้เมล็ดกาแฟ Thai Espresso Roast ของ Hillkoff  สามารถช่วยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปได้ถึงปีละ 33 kg CO₂ เลย

 

 

รางวัลชนะเลิศ “ธรรมาภิบาลเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2567”

 

นอกจากเรื่องการดูแลสังคมและความใส่ใจสิ่งแวดล้อมแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่เราให้ความสำคัญมาตลอด คือ ธรรมาภิบาล (Governance) จนนำไปสู่ความภูมิใจของ ฮิลล์คอฟฟ์ คือการได้รับรางวัลชนะเลิศ “ธรรมาภิบาลเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2567” จากธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับสถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์ จากการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจร้านกาแฟครบวงจร ที่ประกอบกิจการด้วยหลักธรรมาภิบาล ทั้งด้านพนักงาน ผู้บริโภค และสังคม

รางวัลนี้สะท้อนถึง ความมุ่งมั่นของบริษัทในการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด ทั้งในด้านการบริหารจัดการภายในและการดูแลความสัมพันธ์ที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

 

การได้รับรางวัลนี้ถือเป็นเกียรติยศและความภาคภูมิใจอย่างสูงสุดสำหรับ บริษัทฮิลล์คอฟฟ์ จำกัด และเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลที่ดีในภาคธุรกิจไทย และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับบริษัทต่าง ๆ ในการตระหนักและยึดมั่นในหลักการของการบริหารและการดำเนินงานที่ดีเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในอนาคต

 

 

ฝากถึงผู้ประกอบการที่อยากนำแนวคิดนี้ไปใช้

 

คุณนฤมล ฝากแง่คิดก่อนจบการสนทนากันว่า อยากจะฝากคนทำธุรกิจในทุกวงการโดยเฉพาะด้านการเกษตร เรื่องการขาดแคลนอาหารเป็นเรื่องใกล้ตัวที่กำลังแพร่ขยายไปทั่วโลก เพราะเรากำลังสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพไป ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเกิดวิกฤต แปรปรวนอย่างรุนแรง

อยากให้เราทุกคนตระหนักว่า “ขณะที่เราพุ่งไปข้างหน้า เราทิ้งผลกระทบอะไรไว้ข้างหลังบ้าง” และการจัดการผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหากจัดการช้ากว่านี้คงไม่ทันการณ์แล้ว ฉะนั้นเราควรเริ่มลงมือทำทันที คนละเล็กละน้อยก็ยังดีกว่าไม่เริ่มทำอะไรเลย ซึ่งอนาคตผู้บริโภคจะเข้ามาตรวจสอบเรามากขึ้นเรื่อย ๆ และจะไม่ยอมรับกระบวนการผลิตที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการใส่ใจสิ่งแวดล้อมจะเป็นกลไกปกป้องธุรกิจเราให้อยู่ได้อย่างยั่งยืน

 

อ้างอิง

https://hillkoff.com/

https://hillkoff.com/sustainabilitycoffee

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เดินหน้าสร้างอนาคตสีเขียว ปลูกป่า สร้างฝาย ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน