เจาะลึก! เส้นทาง 6 อุตสาหกรรมปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ปรับตัวอย่างไร? ให้เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม

เจาะลึก! เส้นทาง 6 อุตสาหกรรมปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ปรับตัวอย่างไร? ให้เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตโลกร้อนอย่างรุนแรง โดยข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกพุ่งสูงถึง 37,400 ล้านตันคาร์บอนฯ (GT CO2eq) ในปี 2023 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ และส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศอย่างร้ายแรง ในสถานการณ์นี้ อุตสาหกรรมไทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวอย่างเร่งด่วน

โดย 6 อุตสาหกรรมปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด ได้แก่ พลังงาน การขนส่ง ปูนซีเมนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม และอุตสาหกรรมเกษตร ต่างตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเร่งเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ หากไม่สามารถปรับตัวได้ทัน จะส่งผลให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันในเวทีการค้าโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านที่ธุรกิจต้องเลือกเส้นทางระหว่างการปรับตัวหรือเสี่ยงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง!

 

 

 

ภาพรวมอุตสาหกรรมทั่วโลกที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด

 

ปัจจุบัน โลกของเรากำลังเผชิญกับวิกฤตภูมิอากาศที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก ซีเมนต์ อะลูมิเนียม การขนส่ง และการเกษตรกรรม

ในปี 2024 การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 37,400 ล้านตันคาร์บอนเทียบเท่า (GT CO2eq) เพิ่มขึ้น 0.8% จากปี 2023 ถือเป็นระดับสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ โดยส่วนใหญ่เป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากฟอสซิล ซึ่งคิดเป็น 73.7% ของการปล่อยทั้งหมด ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ยังคงเป็นความท้าทายที่ใหญ่หลวง ซึ่งอาจทำให้เป้าหมายระดับโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30-40 ภายในปี 2030 และการบรรลุ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 เป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งมี 6 อุตสาหกรรมหลักที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ได้แก่

  1. อุตสาหกรรมพลังงาน เป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด โดยมีการปล่อยอยู่ที่ประมาณ 15-17 พันล้านตันคาร์บอนเทียบเท่า คิดเป็น 35-40% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก โดยแหล่งหลักของการปล่อยก๊าซในภาคพลังงานได้แก่
  • โรงไฟฟ้าถ่านหิน
  • โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ
  • การผลิตน้ำมันและก๊าซ
  • อุตสาหกรรมการถลุงโลหะ

 

ขณะที่ อุตสาหกรรมการผลิต ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด 3 อันดับ คือ

 

  1. อุตสาหกรรมการผลิตเหล็ก มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงจากกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานจากฟอสซิล
  2. อุตสาหกรรมซีเมนต์ การผลิตซีเมนต์เป็นกระบวนการที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมากจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงและกระบวนการทางเคมี
  3. อุตสาหกรรมการบิน การขนส่งทางอากาศเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเครื่องบินที่ใช้ฟอสซิลเป็นเชื้อเพลิง
  4. อุตสาหกรรมการเกษตร การทำเกษตรกรรมปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ปุ๋ย การปล่อยก๊าซมีเทนจากสัตว์ และการทำลายป่า
  5. อุตสาหกรรมการขนส่ง รวมถึงการขนส่งทางถนน ราง และทะเล ซึ่งมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

การดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับโลกและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับโลกของเรา

 

ความท้าทายการลดก๊าซเรือนกระจกสู่ศูนย์สุทธิ 2050

การคาดการณ์ในปี 2050 แสดงให้เห็นแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของความต้องการในหลายภาคอุตสาหกรรมหลัก:

แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม

  • อลูมิเนียม: เพิ่มขึ้น 80%
  • ปูนซีเมนต์และคอนกรีต: เพิ่มขึ้น 40%
  • เหล็ก: เพิ่มขึ้น 30%
  • การขนส่งทางเรือ: เพิ่มขึ้น 3 เท่า
  • การขนส่งทางรถบรรทุก: เพิ่มขึ้น 2 เท่า

ความท้าทายสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์สุทธิภายในปี 2050 จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เพื่อปรับปรุงทั้งกระบวนการผลิตและระบบการขนส่ง

10 ประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด

  1. จีน 10,667 ล้านตัน
  2. สหรัฐอเมริกา 4,712 ล้านตัน
  3. อินเดีย 2,441 ล้านตัน
  4. รัสเซีย 1,577 ล้านตัน
  5. ญี่ปุ่น 1,030 ล้านตัน
  6. อิหร่าน 745 ล้านตัน
  7. เยอรมนี 644 ล้านตัน
  8. ซาอุดีอาระเบีย 625 ล้านตัน
  9. เกาหลีใต้ 597 ล้านตัน
  10. อินโดนีเซีย 589 ล้านตัน

ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะในประเทศที่มีการปล่อยมลพิษสูง และในภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะเติบโตอย่างมากในอนาคต

 


 

อุตสาหกรรมไหนของไทย ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด

 

สำหรับประเทศไทย กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม รายงานว่า ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลำดับที่ 20 ของโลก (Climate Watch Data, 2020) ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก ภาคพลังงาน

นอกจากนี้ข้อมูลจาก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ภาพรวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยล่าสุด มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 372.71 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยแบ่งเป็นภาคส่วนดังนี้

  1. ภาคพลังงาน ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด 69.06 % หรือคิดเป็นปริมาณ 257,340.89 GgCO2eq
  • มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมพลังงาน 05%
  • การขนส่ง 16%
  • อุตสาหกรรมการผลิตและก่อสร้าง 24%
  • อื่นๆ 56%
  1. ภาคเกษตร ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 15.69% หรือคิดเป็นปริมาณ 58,486.02 GgCO2eq
  • มาจากการเพาะปลูกพืชเกษตร 57%
  • การทำปศุสัตว์ 43%
  • การเผาไหม้ชีวมวลจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร 92%
  • การใส่ปุ๋ยยูเรีย 86 %
  1. ภาคกระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 10.77% หรือคิดเป็นปริมาณ 40,118.14 GgCO2eq
  • มาจากอุตสาหกรรมอโลหะ 28%
  • อุตสาหกรรมเคมี 17%
  • อุตสาหกรรมที่ใช้สารทำลายชั้นโอโซนที่ 33%
  1. ภาคการจัดการขยะและของเสีย ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 4.48% หรือคิดเป็นปริมาณ 16,703.68 GgCO2eq
  • มาจากกำจัดขยะมูลฝอย 53%
  • การบำบัดน้ำเสีย 71%
  • การกำจัดขยะด้วยการเผาในเตาเผา 08%
  • การบำบัดขยะมูลฝอยด้วยวิธีทางชีวภาพเพียง 68%

 

 

6 อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจาก CBAM แล้ว

 

สหภาพยุโรป (EU) ได้เริ่มบังคับใช้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism – CBAM) กับ 6 อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ได้แก่:

  1. ซีเมนต์
  2. พลังงานไฟฟ้า
  3. ปุ๋ย
  4. ไฮโดรเจน
  5. เหล็กและเหล็กกล้า
  6. อะลูมิเนียม

 

 

ระยะการบังคับใช้ CBAM

มาตรการ CBAM ถูกแบ่งการบังคับใช้เป็น 3 ช่วงหลัก

 

ระยะเปลี่ยนผ่าน (2566-2568)

  • ผู้นำเข้าต้องรายงานปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้า
  • ยังไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมคาร์บอน

 

ระยะบังคับใช้ (2569-2577)

  • ผู้นำเข้าต้องรายงานปริมาณการปล่อยคาร์บอน
  • ต้องซื้อ CBAM certificates ตามปริมาณการปล่อยคาร์บอน
  • EU จะทยอยลดสิทธิ์การปล่อยคาร์บอนแบบให้เปล่า (Free Allowances)

 

ระยะบังคับใช้เต็มรูปแบบ (2578 เป็นต้นไป)

  • EU จะยกเลิกสิทธิ์การปล่อยคาร์บอนแบบให้เปล่าทั้งหมด
  • บังคับใช้มาตรการ CBAM อย่างเต็มรูปแบบกับทุกภาคอุตสาหกรรม

 

 

การเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ประกอบการ

ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบควรเร่งดำเนินการดังนี้:

  • จัดทำฐานข้อมูลการปล่อยคาร์บอน ตลอดกระบวนการผลิตให้ครบถ้วน
  • เตรียมระบบการรายงาน ที่มีความละเอียดและชัดเจนสำหรับการส่งข้อมูลให้ EU
  • วางแผนลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในอนาคต
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

 

ประโยชน์ของฐานข้อมูลการปล่อยคาร์บอน

การมีฐานข้อมูลด้านการปล่อยคาร์บอนที่สมบูรณ์จะเป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน:

  • ภาครัฐ ใช้วางนโยบายและกฎเกณฑ์สีเขียวสำหรับสินค้าส่งออกและนำเข้า
  • ภาคเอกชน ใช้วางแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
  • ภาคการวิจัยและการศึกษา ใช้พัฒนาเทคโนโลยีให้สอดรับกับความต้องการของประเทศ

การเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังตลาด EU ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เกิดอุปสรรคที่ทำให้การดำเนินธุรกิจต้องหยุดชะงัก

 

 

 

แล้วผู้ประกอบการ SME ไทย ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง

 

ผลกระทบระยะสั้น (1-2 ปี)

  • ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น 15-20% จากการปรับปรุงกระบวนการผลิต
  • ค่าใช้จ่ายในการตรวจวัดและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันหากไม่ปรับตัว
  • ผลกระทบต่อการส่งออกโดยเฉพาะตลาด EU จากมาตรการ CBAM

ผลกระทบระยะกลาง-ยาว (3-5 ปี)

  • โอกาสทางธุรกิจใหม่จากผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ
  • การเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว
  • การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่
  • โอกาสในการขยายตลาดสู่กลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

 

 

แนวทางเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำของ SME ไทย

 

ภาคพลังงานและการขนส่ง (Priority สูงสุด)

  • การปรับเปลี่ยนสู่พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy)
  • พัฒนาระบบขนส่งมวลชนไฟฟ้า
  • ส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร

อุตสาหกรรมการผลิตหนัก

  1. อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
  • ใช้เชื้อเพลิงทางเลือก (Alternative Fuel)
  • พัฒนาปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ
  • ติดตั้งระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS)
  1. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า
  • ปรับใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบไฟฟ้า
  • พัฒนาการผลิตโดยใช้ไฮโดรเจนสะอาด
  • เพิ่มสัดส่วนการรีไซเคิลเศษเหล็ก
  1. อุตสาหกรรมปิโตรเคมี
  • พัฒนาผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบชีวภาพ (Bio-based)
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต
  • ลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด

ภาคการเกษตรและอาหาร

  • ส่งเสริมเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture)
  • ลดการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร
  • พัฒนาระบบจัดการปศุสัตว์แบบยั่งยืน
  • ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนปุ๋ยเคมี

 

กลไกสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน

มาตรการภาครัฐ

  • พ.ร.บ. Climate Change
  • มาตรการจูงใจทางภาษี
  • การสนับสนุนเงินทุนสีเขียว (Green Finance)
  • การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิต

การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม

  • การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด
  • การถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
  • การพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีสีเขียว

 

 

สิ่งที่กล่าวมานี้ สะท้อนให้เห็นว่า การนำแนวทางเหล่านี้ไปใช้มีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสามารถช่วยเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยก้าวผ่านมาตรการ CBAM ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาวด้วย เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero นั้น การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ โดยทุกฝ่ายต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนากลไกสนับสนุนและปรับเปลี่ยน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในอนาคต

 

อ้างอิง

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

https://www.nstda.or.th/home/news_post/bcg-implementation-cbam/

https://www.oie.go.th/assets/portals/1/fileups/2/files/ArticlesAnalysis/Carbon_Tax1.pdf

สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ

https://epo04.pcd.go.th/th/news/detail/144165/

https://www.bangkokbiznews.com/environment/1144631

 

https://www.sciencedaily.com/releases/2024/11/241112191227.htm

https://fdi.co.th/th/blog/cbam-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AD/