“ทราย สก็อต” นักอนุรักษ์ทะเลผู้ว่ายเดี่ยวข้ามอ่าวนาง–เกาะปอดะ กับเส้นทางอุดมการณ์ที่กำลังถูกท้าทาย ชาวเน็ตจำนวนมากร่วมติดแฮชแท็ก #Saveทราย และ #คืนทรายให้ทะเล
จากทายาทสิงห์สู่มนุษย์เงือกนักอนุรักษ์
“สิรณัฐ ภิรมย์ภักดี” หรือ “ทราย สก็อต” วัย 26 ปี ลูกครึ่งไทย–สก็อตแลนด์ ผู้เป็นหลานของคุณจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูล “สิงห์ คอร์เปอเรชั่น” กลายเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงในโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง หลังจากที่เขาเผยว่าได้ว่ายน้ำด้วยตัวเปล่าข้ามทะเลไป-กลับระหว่างหาดอ่าวนางกับเกาะปอดะ จังหวัดกระบี่ ระยะทางรวมเกือบ 30 กิโลเมตร ภายในเวลา 6 ชั่วโมง
ทรายระบุว่า ไม่ได้ยึดติดกับระยะทางที่แน่นอน เพราะสิ่งสำคัญคือ “ความตั้งใจ” ที่ได้ลงมือทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ “ผมไม่ได้วัดว่าเท่าไรแน่ชัด แต่รู้ว่า over 15 km สำหรับระยะทางที่ไม่นับกระแส omg… เราเจอกระแสน้ำขึ้นน้ำลงทั้งสองทาง กัปตันเรือที่เป็นคนในพื้นที่บอกว่าไปกลับเกือบ 30 km”
เบื้องหลังการกระทำที่ดูเหมือน “บ้าบิ่น” นี้ คือแรงผลักดันจากจิตใจที่มุ่งมั่นต่อภารกิจด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล ที่เขารู้สึกเชื่อมโยงมาตั้งแต่วัยเด็ก และมากไปกว่านั้น คือการสืบทอดแนวคิด “ความเท่าเทียม” และ “การไม่เอาเปรียบใคร” ที่ได้รับจาก “คุณตา–จำนงค์ ภิรมย์ภักดี”
- ผลงานเด่น:
- ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Sea You Strong ที่รณรงค์การอนุรักษ์ทะเล
- เคยว่ายน้ำไกลกว่า 30 กิโลเมตรเพื่อปลุกกระแสเรื่องสิ่งแวดล้อม
- ตำแหน่งก่อนหน้า: ที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

แรงบันดาลใจจากครอบครัว: ความมั่งคั่งที่เลือกจะแบ่งปัน
ทราย เปิดเผยว่า การที่เติบโตมาในครอบครัวที่มั่งคั่ง ทำให้เขาตระหนักถึงความเหลื่อมล้ำที่ยังมีอยู่ในสังคม และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผลักดันให้เขาออกมาทำงานเพื่อส่วนรวม
“ครอบครัวผมมีโอกาสเยอะ เรามีทุกอย่างเกินพอ แต่พอเราเห็นคนที่เรารักดิ้นรน เรารู้ว่าความไม่เท่าเทียมมันเจ็บปวดขนาดไหน”
เขายังกล่าวถึงคุณตา ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูเขาและปลูกฝังหลักการใช้ชีวิตว่า “คุณตาไม่เคยพูดจาไม่ดีกับใครเลย… สอนว่าเราต้องไม่เอาเปรียบ โดยเฉพาะคนที่ดูแลเรา”
การเติบโตในครอบครัวที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับน้ำ ยังทำให้ทรายรู้สึกผูกพันกับทะเลและสิ่งแวดล้อมทางน้ำมาโดยตลอด “ผมอยากอยู่กับทะเล อยากใช้สองมือกอดทะเลมากกว่าจับเงิน” – อีกหนึ่งวรรคทองที่สื่อถึงตัวตน
ภารกิจอนุรักษ์: จากเก็บขยะถึงผลิตหนังสั้น
เส้นทางนักอนุรักษ์ของทรายเริ่มต้นจากการเก็บขยะด้วยตัวเองที่ “หาดสามร้อยยอด” จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ก่อนจะขยายกิจกรรมสู่ “หาดยาว” จังหวัดกระบี่ ด้วยการชวนเด็กนักเรียนจาก 12 โรงเรียนมาร่วมเก็บขยะ และสร้างความตระหนักรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม
ไม่หยุดแค่นั้น ทรายยังผลิตภาพยนตร์สั้นเรื่อง “Merman” โดยใช้มนุษย์เงือกเป็นตัวแทนเล่าเรื่องความงดงามและความมืดมนของใต้ทะเล ซึ่งได้รับความนิยมและเสียงชื่นชมในโลกออนไลน์
เขายืนยันว่า ความสุขของเขาไม่ได้อยู่ที่ความสะดวกสบาย หรือสถานะทางสังคม แต่อยู่ที่ “การได้เป็นกระบอกเสียงให้กับทะเลไทย” แม้ต้องแลกกับการเสียสละหลายอย่าง
จุดเริ่มต้นของดราม่า
- ดราม่าเริ่มต้นจาก คลิปวิดีโอที่ทรายโพสต์บนโซเชียลมีเดีย
- เหตุการณ์เกิดขึ้นบน เรือท่องเที่ยวบริเวณทะเลภาคใต้
- ในคลิป ทรายตักเตือน นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่กล่าวว่า “หนีห่าว” พร้อมหัวเราะ
- ทรายมองว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็น การเหยียดเชื้อชาติ เพราะคำว่า “หนีห่าว” มักถูกใช้ในเชิงล้อเลียนคนเอเชีย
✅ ฝ่ายสนับสนุน
- มองว่าทรายมีจุดยืนเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของคนไทยและชาวเอเชีย
- เชื่อว่าเขาใช้สิทธิของพลเมืองในการเรียกร้องความเคารพและมารยาทในพื้นที่สาธารณะ
- หลายเสียงชื่นชมว่าเป็น “นักอนุรักษ์ที่กล้าแสดงออก” อย่างตรงไปตรงมา
❌ ฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์
- บางคนมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น เรื่องเข้าใจผิดทางวัฒนธรรม
- วิจารณ์ว่าทรายอาจแสดงออกเกินความเหมาะสมหรือใช้ถ้อยคำรุนแรง
- เกิดคำถามว่าเป็นการ “ขยายประเด็นเกินจริงหรือไม่”
ดราม่าการเมือง–ผลประโยชน์: เมื่อนักอนุรักษ์ต้องเผชิญแรงต้าน
ในช่วงหลังชื่อของทรายกลับมาเป็นกระแสร้อนในโลกออนไลน์อีกครั้ง เมื่อเกิดกรณีดราม่าที่ว่าเขาอาจถูกปลดจากตำแหน่ง “ที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช” อันเป็นตำแหน่งที่ได้จากการแต่งตั้งโดยนายอรรถพล เจริญชันษา
อย่างไรก็ตาม อธิบดีฯ ยืนยันว่า ยังไม่มีคำสั่งปลด และเข้าใจเจตนาดีของทราย แต่ก็ยอมรับว่าวิธีการทำงานของเขาอาจต้องมีการปรับปรุง พร้อมเปิดเผยว่า “ทรายมาช่วยแบบไม่มีเงินเดือน เป็นอาสาสมัครที่จริงใจ”
ทรายเองก็ส่งข้อความถึงอธิบดีว่า “ทรายไม่ได้รู้สึกไม่ดีครับ ถ้าอธิบดีจะถอนทรายจากตำแหน่ง… ทรายยอมรับผลลัพธ์เพื่อภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่า”
ปมคลิป–ข้อกล่าวหาจากภาคธุรกิจ: คดีความและการเมืองแฝง
อีกหนึ่งชนวนสำคัญของดราม่าคือกรณีคลิปวิดีโอที่ทรายโพสต์ในสื่อโซเชียล ซึ่งมีการกล่าวหาว่าบริษัทเรือบางแห่งในภูเก็ตละเมิดกฎหมายทางทะเล เช่น ให้อาหารสัตว์ป่าในพื้นที่คุ้มครอง ทำให้บริษัท “ไทยมารีน (ภูเก็ต) จำกัด” ออกแถลงการณ์โต้ พร้อมยืนยันว่าเป็นเพียงผู้ผลิตเรือ ไม่ได้ดำเนินธุรกิจนำเที่ยว และระบุว่าการนำชื่อบริษัทไปเชื่อมโยงทำให้เสียหายทั้งชื่อเสียงและธุรกิจ
นายวรานนท์ ณ ตะกั่วทุ่ง ประธานบริษัทฯ ได้ดำเนินคดีอาญาและหมิ่นประมาทต่อทราย พร้อมโพสต์เฟซบุ๊กหลายครั้ง รวมถึงเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงอธิบดีกรมอุทยานฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ เพื่อร้องเรียนพฤติกรรมของทรายว่า “ไม่เหมาะสม” และ “กระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยว”
ขณะเดียวกัน ทรายก็ได้รับการสนับสนุนจากชาวเน็ตจำนวนมาก ที่ร่วมติดแฮชแท็ก #Saveทราย และ #คืนทรายให้ทะเล พร้อมแสดงพลังให้กำลังใจนักอนุรักษ์รุ่นใหม่คนนี้
อนาคตของมนุษย์เงือก: ภารกิจยังคงเดินต่อ
แม้จะเผชิญแรงเสียดทานจากทั้งภาคธุรกิจและกระแสสังคมบางส่วน แต่สิ่งที่ทรายยืนยันชัดเจน คือเขาจะไม่หยุดทำหน้าที่ในฐานะนักอนุรักษ์ “ความหมายของความสุขในชีวิต คือการได้ช่วยคนอื่น” – คำพูดเรียบง่ายที่สะท้อนถึงหัวใจของการอุทิศตน
ขณะที่ข้อครหาหรือคดีความที่เกิดขึ้นยังต้องรอการพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม สิ่งที่เด่นชัดคือ ทราย สก็อต ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่มากมายในการออกมา “เลือกข้างทะเล” และต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม โดยไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดันทางการเมืองหรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
บทสรุป: เมื่อการอนุรักษ์ต้องไม่อ่อนแอ
กรณีของ “ทราย สก็อต” สะท้อนความท้าทายของการทำงานอนุรักษ์ในสังคมไทย ซึ่งยังคงมีรอยปะทะระหว่างภารกิจเพื่อส่วนรวมกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ บ่อยครั้งผู้ที่ออกมา “พูดความจริง” ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาล
แต่ในขณะเดียวกัน กรณีนี้ก็แสดงให้เห็นพลังของสังคมในการปกป้องผู้ที่มีอุดมการณ์ แม้แต่ในยุคที่ข้อมูลถูกบิดเบือนได้ง่ายก็ตาม
ในท้ายที่สุด เราคงต้องจับตาดูว่า “มนุษย์เงือก” ผู้นี้จะสามารถว่ายฝ่าคลื่นแห่งความขัดแย้ง และรักษาความตั้งใจในการปกป้องทะเลไทยได้ต่อไปหรือไม่
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือต้องการติดตามความเคลื่อนไหวของทราย สก๊อต
สามารถติดตามได้ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของเขา เช่น Instagram: @psiscott



