สนธิสัญญาทะเลหลวง ความหวังใหม่ในการปกป้องมหาสมุทรของโลก

สนธิสัญญาทะเลหลวง ความหวังใหม่ในการปกป้องมหาสมุทรของโลก

 

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง การปกป้องมหาสมุทรซึ่งเป็นระบบนิเวศขนาดใหญ่ของโลกจึงกลายเป็นวาระสำคัญในเวทีนานาชาติ หนึ่งในก้าวสำคัญคือ “สนธิสัญญาทะเลหลวง” (High Seas Treaty) ที่ลงนามในปี 2023 ซึ่งแม้จะยังไม่เกิดผลบังคับใช้ในขณะนี้ แต่ก็เป็นหัวข้อสำคัญในการประชุมสุดยอดมหาสมุทรแห่งสหประชาชาติ (UN Ocean Conference) ที่กำลังจัดขึ้นที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้สนธิสัญญานี้มีผลในทางปฏิบัติ

 

 

สนธิสัญญาทะเลหลวงคืออะไร?

สนธิสัญญาทะเลหลวง หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า “สนธิสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพนอกเขตอำนาจศาลของรัฐ (BBNJ – Biodiversity Beyond National Jurisdiction)” เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อคุ้มครองมหาสมุทรที่อยู่นอกเหนือเขตอธิปไตยของรัฐใดรัฐหนึ่ง หรือที่เรียกกันว่า “ทะเลหลวง”

พื้นที่ทะเลหลวงครอบคลุมประมาณสองในสามของพื้นผิวโลก แต่มีเพียงไม่ถึง 3% ที่ได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริง นั่นทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่นี้ เช่น การประมงในเชิงพาณิชย์ การขุดเจาะทรัพยากร การขนส่งทางทะเล หรือแม้กระทั่งการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีกฎหมายสากลที่กำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ

สนธิสัญญาฉบับนี้มีเนื้อหาทั้งหมด 75 ประเด็นหลัก ครอบคลุมการสร้างเขตอนุรักษ์ทางทะเล การแบ่งปันทรัพยากรทางพันธุกรรมทางทะเลอย่างเท่าเทียม การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ของกิจกรรมทางทะเลในน่านน้ำสากล และการส่งเสริมความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ ทั้งนี้ สนธิสัญญายังมีหลักประกันเพื่อให้ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา สามารถเข้าถึงทรัพยากรทางทะเลได้อย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เฉพาะประเทศร่ำรวยหรือมีเทคโนโลยีขั้นสูงเท่านั้น

 

 

ทำไมโลกต้องการสนธิสัญญาฉบับนี้?

มหาสมุทรไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งอาหารและการขนส่งทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่มหาสมุทรยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศของโลก โดยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของภาวะโลกร้อนคิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของ CO₂ ที่มนุษย์ปล่อยออกมา นอกจากนี้ แพลงก์ตอนพืชในทะเลยังผลิตออกซิเจนประมาณครึ่งหนึ่งของโลกอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม มหาสมุทรกำลังเผชิญกับภัยคุกคามมากมาย ทั้งจากการประมงเกินขนาด การปนเปื้อนของมลพิษทางน้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ระดับน้ำทะเลและอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ปัจจุบันมีสิ่งมีชีวิตในทะเลมากกว่า 1,500 ชนิดที่ตกอยู่ในสถานะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และคาดว่าจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นในอนาคตหากไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ แนวโน้มใหม่ๆ เช่น การทำเหมืองใต้ทะเลลึกเพื่อขุดแร่หายาก รวมถึงการวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของมหาสมุทรเพื่อเพิ่มความสามารถในการดูดซับ CO₂ กำลังถูกจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะแม้อาจให้ผลดีด้านสิ่งแวดล้อมในบางกรณี แต่ก็อาจสร้างผลกระทบที่ไม่ตั้งใจต่อระบบนิเวศอย่างรุนแรง

 

 

สนธิสัญญากำลังอยู่ในขั้นตอนไหน?

แม้จะมีการลงนามแล้วตั้งแต่ปี 2023 แต่จนถึงต้นเดือนมิถุนายน 2025 สนธิสัญญาทะเลหลวงยังไม่สามารถมีผลบังคับใช้ได้ เพราะต้องอาศัยการให้สัตยาบันจากอย่างน้อย 60 ประเทศ ในขณะที่ล่าสุด ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ได้ประกาศว่า ขณะนี้มี 50 ประเทศที่ให้สัตยาบันแล้ว ซึ่งหมายความว่าขาดอีกเพียง 10 ประเทศก็จะสามารถเริ่มกระบวนการบังคับใช้สนธิสัญญาได้ โดยจะมีผลใน 120 วันหลังจากครบ 60 ประเทศ

หลังจากมีผลบังคับใช้แล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการจัดตั้งสถาบันและคณะกรรมการกลาง เพื่อกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานตามสนธิสัญญา โดยคาดว่าการประชุมของภาคีสมาชิกจะมีขึ้นครั้งแรกภายในระยะเวลาหนึ่งปี

อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาในปัจจุบันภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะให้สัตยาบันสนธิสัญญาดังกล่าว แม้ว่าจะเคยมีบทบาทในการเจรจาเมื่อครั้งร่างสนธิสัญญา

 

 

การประชุม UN Oceans ที่เมืองนีซ มีอะไรน่าสนใจ?

การประชุม UN Oceans ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 9–13 มิถุนายน 2025 โดยมีฝรั่งเศสและคอสตาริกาเป็นเจ้าภาพร่วม เป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมผู้นำจากกว่า 55 ประเทศ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางการแก้ไขวิกฤตทางทะเล

นอกจากการหารือเพื่อผลักดันสนธิสัญญาทะเลหลวงให้มีผลบังคับใช้แล้ว ที่ประชุมยังหยิบยกประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของมหาสมุทร เช่น ปัญหาการประมงเกินขนาด การปนเปื้อนจากไมโครพลาสติกและสารเคมีอันตราย รวมถึงกลยุทธ์เพื่อปกป้องแนวปะการังและสัตว์ทะเลหายาก

สิ่งหนึ่งที่เป็นโจทย์สำคัญคือการจัดหาเงินทุนเพื่อสนับสนุนความพยายามด้านนี้ ปัจจุบัน การลงทุนเพื่อการอนุรักษ์ทางทะเลยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก โดยระหว่างปี 2015–2019 ทั่วโลกใช้จ่ายไปเพียงประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่องค์การสหประชาชาติประเมินว่า เราจำเป็นต้องใช้เงินอย่างน้อยปีละ 175,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อคุ้มครองมหาสมุทรอย่างครอบคลุมและยั่งยืน

 

สำหรับการประชุม UN Oceans ครั้งต่อไป จะจัดขึ้นในปี 2028 โดยมีชิลีและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วม

 

สนธิสัญญาทะเลหลวงเป็นความพยายามของประชาคมโลกที่จะอุดช่องว่างในระบบกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อคุ้มครองทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพในทะเลหลวงอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน แม้จะยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง แต่การมี 50 ประเทศให้สัตยาบันแล้ว ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าสังคมโลกเริ่มให้ความสำคัญกับมหาสมุทรอย่างจริงจัง หากสามารถผลักดันให้สนธิสัญญามีผลบังคับใช้ได้ ก็จะนับเป็นชัยชนะสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในศตวรรษนี้

 

อ้างอิง