อัปเดต เศรษฐกิจโลก! หลังทรัมป์ไม่แคร์ “โลกเดือด” แถมตั้งกำแพงภาษีโหด สร้างสงครามการค้าป่วนตลาดโลก

อัปเดต เศรษฐกิจโลก! หลังทรัมป์ไม่แคร์ “โลกเดือด” แถมตั้งกำแพงภาษีโหด สร้างสงครามการค้าป่วนตลาดโลก

ในขณะที่โลกกำลังมุ่งหน้าสู่การใช้พลังงานสะอาด การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์พร้อมนโยบายตั้งกำแพงภาษีได้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคพลังงานสะอาด นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ไม่เพียงส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกเท่านั้น แต่ยังสร้างความกังวลว่าความพยายามในการรับมือกับปัญหาสภาพภูมิอากาศอาจกลายเป็นเหยื่อของสงครามการค้าครั้งใหม่นี้ แล้วนโยบายภาษีทรัมป์ เมื่อพลังงานสะอาดกลายเป็นเหยื่อสงครามการค้า ไทยจะช่วงชิงโอกาสเติบโตไว้ได้หรือไม่?

 

 

พลังงานสะอาดในยุคทรัมป์ และโอกาสของไทย ท่ามกลางสงครามการค้าโลก

การถอนตัวของสหรัฐฯ ครั้งนี้จะทำให้เป็นอีกประเทศที่เข้าไปอยู่กลุ่มเดียวกับอิหร่าน ลิเบีย และเยเมน ซึ่งรวมเป็น 4 ประเทศในโลกที่ไม่ได้เข้าร่วมข้อตกลงปารีส และคำมั่นที่สหรัฐฯจะให้เงินแก่กองทุนภูมิอากาศสีเขียว 3,000 ล้านดอลลาร์จะถูกระงับ ไทยก็จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ยากขึ้น

ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ นักเคลื่อนไหว และพรรคเดโมแครตได้วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจดังกล่าวว่าเป็นการกระทำที่จะทำให้วิกฤตสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น และส่งผลเสียต่อคนงานชาวอเมริกัน

ทั้งนี้ ผลกระทบจากการถอนตัวของสหรัฐฯ จะทำให้การสนับสนุนทางการเงินต่อประเทศกำลังพัฒนาที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยุคโจ ไบเดน ได้ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนเงินทุนกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับกองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate Fund) ขององค์การสหประชาชาติอาจถูกระงับ ส่งผลให้ประเทศกำลังพัฒนาประสบปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนกองทุนอยู่ประมาณ 30%

อีกหนึ่งผลกระทบที่ตามมาก็คือ การลดความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งอาจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงแนวทางการลงทุนในพลังงานสะอาดและโครงการด้านสิ่งแวดล้อมในไทยที่ต้องพึ่งพาเงินทุนจากภาคเอกชนและภาครัฐของสหรัฐฯ ก็อาจได้รับผลกระทบ

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมลดโลกร้อน มองว่า นโยบายของทรัมป์จะมีผลกระทบต่อการลงทุนและการดำเนินนโยบายภายใน โดยเฉพาะการลงทุนด้านพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง อย่างเช่น โครงการที่เกี่ยวข้องกับการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage) แต่นโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภมิอากาศในอีกกว่า 26 มลรัฐของสหรัฐฯ ก็ยังเดินหน้าการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง

อย่างเช่น แคลิฟอร์เนียซึ่งออกกฎหมายเข้มงวดกว่ากฎหมายของรัฐบาลกลาง ส่งผลให้ยังคงมีการดำเนินการในระดับท้องถิ่นและระดับภาคเอกชนต่อไป ขณะที่ภาคเอกชน โดยเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft Google และ Amazon ก็ยังคงยืนยันเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากต้องแข่งขันในตลาดโลก ดังนั้น จึงต้องติดตามการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลกลางและการดำเนินงานของมลรัฐ รวมถึงภาคเอกชนว่า จะเป็นอย่างไรต่อไป

 

 

ไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือ CBAM

 

สำหรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้กำหนดไว้ในปี 2035 ซึ่งตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซลง 61-66% จากระดับปี 2005 หากนโยบายทรัมป์ทำให้การลดการปล่อยก๊าซล่าช้า อาจส่งผลต่อความพยายามของประชาคมโลกในการควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามความตกลงปารีส หรือทำให้การควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสทำได้ยากขึ้น โดยที่ปัจจุบันสหรัฐฯ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 2 ของโลก

อธิบดีกรมลดโลกร้อน กล่าวด้วยว่า ไทยต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับผลที่จะตามมาจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยต้องสร้างขีดความสามารถให้กับภาคธุรกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถแข่งขันและเข้าถึงแหล่งเงินทุนระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากประเทศที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนสูงอาจต้องเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร

เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรปซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2569 ขณะที่มาตรการของสหราชอาณาจักรมีจะมีผลบังคับใช้ในปี 2570

ทั้งนี้ แม้ว่าสหรัฐฯ จะถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส แต่ประเทศอื่น ๆ เช่น สหภาพยุโรป จีน และอินเดีย ยังคงเดินหน้าแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน ยังเป็นการมุ่งมั่นการเดินหน้าผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล และหันหลังให้กับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและกังหันลมผลิตไฟฟ้า

นอกจากนั้นจะส่งผลให้สหรัฐฯ ยิ่งห่างไกลจากเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกลง 61% จากระดับปี 2005 ภายในปี 2030 หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐฯ อาจลดลงเพียง 24 – 40% จากเป้าหมายข้างต้น แต่ในความเป็นจริงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ สหรัฐฯ จะต้องลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงในอัตราที่เร็วขึ้นเกือบ 10 เท่าต่อปี เมื่อเทียบกับการลดลงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

 

 

ผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์

อีกหนึ่งความปั่นป่วนของนานาประเทศ หลังจากที่ทรัมป์ประกาศ “วันแห่งอิสรภาพ” และเตรียมเก็บภาษีนำเข้าจากหลายประเทศ นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากได้เตือนว่ามาตรการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจโลกและการลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อตกลงปารีส

ผลกระทบที่เห็นได้ชัดประการหนึ่งคือราคาน้ำมันและก๊าซที่ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจลดแรงจูงใจของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาด

 

 

จีนเป้าหมายหลักสหรัฐ

มาตรการภาษีอันเข้มงวดของทรัมป์มุ่งเป้าไปที่จีน ซึ่งเป็นผู้นำด้านการผลิตเทคโนโลยีพลังงานสะอาดของโลก การประกาศครั้งนี้ไม่เพียงเพิ่มต้นทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีในสหรัฐฯ แต่ยังทำให้นักลงทุนเกิดความลังเลกับนโยบายพลังงานสะอาดที่เคยเชื่อมั่นในยุครัฐบาลไบเดน

แม้สหรัฐฯ จะพยายามสร้างฐานการผลิตภายในประเทศ แต่โรงงานเหล่านั้นยังคงต้องพึ่งพาวัสดุที่ถูกเก็บภาษี เช่น เหล็ก ซีเมนต์ และอะลูมิเนียม ซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น นอกจากนี้ ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน การเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนในพลังงานสะอาดก็ยิ่งเป็นเรื่องยากขึ้น

เลสลี อับราฮัมส์ นักวิเคราะห์จากศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษาระหว่างประเทศ (CSIS) ชี้ว่า ความไม่แน่นอนจากนโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนโดยตรง โดยเฉพาะในด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เป็นรากฐานสำคัญสำหรับอนาคตพลังงานสะอาดทั่วโลก

 

 

ทรัมป์วางกลยุทธ์ บีบบังคับทั่วโลกให้โดดเดี่ยวจีน

รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาแผนการใช้การเจรจาทางการค้ากับพันธมิตรทั่วโลกเพื่อกดดันให้ประเทศต่างๆ ร่วมมือในการโดดเดี่ยวจีนทางเศรษฐกิจ ตามรายงานล่าสุดจากวอลล์สตรีท เจอร์นัล

กลยุทธ์บีบบังคับพันธมิตรการค้า

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า โรเบิร์ต เบสเซนต์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายการค้าของทรัมป์ ได้นำเสนอแนวคิดนี้ระหว่างการพบปะหารือที่รีสอร์ทมาร์อาลาโกเมื่อวันที่ 6 เมษายน โดยเสนอว่าการบีบบังคับให้คู่ค้าของสหรัฐฯ ยอมทำตามมาตรการต่างๆ จะช่วยขัดขวางจีนและบริษัทจีนจากการหลีกเลี่ยง

  • มาตรการรีดภาษีของสหรัฐฯ
  • มาตรการควบคุมการส่งออก
  • มาตรการทางเศรษฐกิจอื่นๆ

 

กลยุทธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่กว้างขวางกว่าซึ่ง เบสเซนต์ กำลังผลักดันเพื่อนำไปสู่การโดดเดี่ยวเศรษฐกิจจีน แนวคิดนี้ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากเจ้าหน้าที่ในคณะของทรัมป์ แม้จะมีการถกเถียงเกี่ยวกับขนาดและความรุนแรงของมาตรการรีดภาษี แต่เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับแผนการเล่นงานจีนของเบสเซนต์

 

 

แผนการตัดจีนออกจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ

แผนการนี้ประกอบด้วยการดำเนินการหลายขั้นตอน

  1. ตัดจีนออกจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้วยมาตรการรีดภาษี
  2. อาจรวมถึงการตัดหุ้นบริษัทจีนออกจากตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ

เบสเซนต์ ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะพยายามถอดบริษัทจีนออกจากตลาดหลักทรัพย์อเมริกา ตามที่เขาให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์เมื่อไม่นานมานี้ อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสุดท้ายของรัฐบาลสหรัฐฯ ในนโยบายเกี่ยวกับจีนยังคงไม่ชัดเจน เนื่องจาก

  • เบสเซนต์ ยังกล่าวว่ามีพื้นที่สำหรับการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
  • การเจรจาดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องโดยตรงระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง

ล่าสุด แคโรไลน์ ลีวิตต์ เลขานุการฝ่ายสื่อสารมวลชนของทำเนียบขาว ได้อ่านถ้อยแถลงใหม่ของทรัมป์ในการแถลงข่าววันอังคาร (15 เม.ย.) โดยระบุว่า “เวลานี้มันขึ้นอยู่กับฝ่ายจีน จีนต้องการทำข้อตกลงกับเรา เราไม่ต้องการทำข้อตกลงกับพวกเขา จีนต้องการสิ่งที่เรามี นั่นคือผู้บริโภคอเมริกา” ซึ่งบ่งชี้ว่ายังไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดข้อตกลงกับจีนในเร็วๆ นี้

ความไม่แน่นอนในการเจรจากับพันธมิตร

ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าแนวทางต่อต้านจีนนี้จะถูกนำเข้าสู่การเจรจากับทุกประเทศหรือไม่:

  • บางประเทศระบุว่ายังไม่ได้ยินข้อเรียกร้องเกี่ยวกับจีนจากคณะผู้แทนเจรจาของสหรัฐฯ
  • แต่ก็ยอมรับว่าการเจรจายังอยู่ในขั้นเริ่มต้น
  • คาดการณ์ว่ารัฐบาลทรัมป์อาจหยิบยกข้อเรียกร้องเกี่ยวกับจีนขึ้นมาเป็นเงื่อนไขในอนาคตอันใกล้

จีนดำเนินการทางการทูตการค้าของตนเอง

ในขณะเดียวกัน จีนก็ไม่นิ่งเฉย

  • ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เดินทางเยือนเวียดนาม ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ ที่ถูกทรัมป์เก็บภาษีอย่างหนัก
  • มีการลงนามในข้อตกลงทางเศรษฐกิจหลายสิบฉบับกับรัฐบาลฮานอย

การเคลื่อนไหวของทั้งสองมหาอำนาจแสดงให้เห็นถึงการแข่งขันทางเศรษฐกิจและการทูตที่เข้มข้นขึ้น ขณะที่ทรัมป์มุ่งกดดันพันธมิตรให้ร่วมโดดเดี่ยวจีน ฝ่ายจีนก็กำลังพยายามสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

 

 

โอกาสของประเทศไทย

ในขณะที่สหรัฐฯ ถอยห่างจากตลาดพลังงานสะอาดโลก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และบราซิล กลายเป็นจุดหมายใหม่สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสในตลาดพลังงานสีเขียวที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยจึงมีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตนี้ หากรัฐบาลสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและวางโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการพัฒนาพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง

ปัจจุบัน ประเทศไทยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ได้ถึง 50% ของการผลิตพลังงานทั้งหมดภายในปี 2040 โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดหลากหลายรูปแบบ ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และชีวมวล นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังเปิดกว้างสำหรับการพิจารณาเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกใหม่ๆ เช่น เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMRs) เพื่อเสริมสร้างความหลากหลายของแหล่งพลังงานและลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยยังคงพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในสัดส่วนที่สูง โดยมากกว่า 60% ของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศยังคงมาจากก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน การบรรลุเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 37% ภายในปี 2040 จึงจำเป็นต้องอาศัยการลงทุนจำนวนมากจากทั้งภาคเอกชนและต่างประเทศ

เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส

การที่จีนต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมายการส่งออกเทคโนโลยีพลังงานสะอาดจากสหรัฐฯ ไปยังประเทศอื่น ๆ ถือเป็นโอกาสที่ประเทศไทยอาจเข้าถึงเทคโนโลยีดังกล่าวได้ด้วยต้นทุนที่ลดลง หากไทยสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่มั่นคงและมีความน่าดึงดูดเพียงพอ

แม้นโยบายภาษีของทรัมป์จะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาดพลังงานสะอาดทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดช่องว่างที่เป็นโอกาสให้กับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างประเทศไทย คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า “ทรัมป์จะขวางพลังงานสะอาดได้แค่ไหน” แต่คือ “ไทยพร้อมแค่ไหนที่จะคว้าโอกาสที่กำลังมาถึง? เราจะรอให้คลื่นโลกซัดมาแล้วค่อยปรับตัว หรือจะลุกขึ้นสร้างคลื่นของเราเอง?”

 

 

อ้างอิง

https://www.dailynews.co.th/news/4606945/

https://mgronline.com/around/detail/9680000035822

https://tna.mcot.net/environment-1477409

https://www.nytimes.com/2025/01/20/climate/trump-paris-agreement-climate.html

 

บทความอื่น ที่น่าสนใจ

แก้เกมภาษีคู่ค้าทรัมป์! โลกผนึกพลัง “ลดพึ่งพาสหรัฐฯ” ส่งจีนครองพลังงานสะอาด นักวิเคราะห์เตือนเสียแต้มต่อ