วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี คือวันสำคัญระดับโลกที่ประชาคมนานาชาติใช้เป็นเวทีรณรงค์เพื่อส่งเสริมการตระหนักรู้และลงมือแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่โลกกำลังเผชิญ นับตั้งแต่การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ที่กรุงสตอกโฮล์มในปี 1972 วันสิ่งแวดล้อมโลกก็ได้กลายมาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 2025 นี้ สาธารณรัฐเกาหลีได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงานเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี
พิธีหลักในวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้จะจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมนานาชาติเชจู เมืองซอกวิโพ จังหวัดเชจู ซึ่งเป็นสถานที่ที่แสดงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาและธรรมชาติ โดยมีโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ทำหน้าที่เป็นผู้นำในการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงสิ่งแวดล้อมของเกาหลีใต้ ภายใต้ธีมสำคัญ “ยุติมลพิษพลาสติก” (End Plastic Pollution) และคำขวัญ “ความท้าทายร่วมกัน การดำเนินการร่วมกัน” (Our Land. Our Future. We are #GenerationRestoration)
จุดเน้นของการจัดงานในปีนี้คือการปลุกพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป ให้หันมาเผชิญหน้ากับปัญหามลพิษจากพลาสติกซึ่งกำลังคุกคามทั้งสิ่งแวดล้อมทางบกและทางทะเล โดยคาดว่าการประชุมในครั้งนี้จะมีผู้เข้าร่วมกว่า 1,300 คนจากทั่วโลก รวมถึงผู้แทนระดับสูงจากกว่า 20 ประเทศ เช่น ลาว บังกลาเทศ และญี่ปุ่น ตลอดจนตัวแทนจากองค์กรนานาชาติอย่าง IUCN, OECD และ UNEP เอง
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานคือการเปิดตัวโครงการ “ACE Initiative” หรือ “Action for Circular Economy” ซึ่งเป็นโครงการที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือประเทศที่เผชิญปัญหาขยะพลาสติกรุนแรงแต่ขาดทรัพยากรหรือขีดความสามารถในการจัดการ โดยเกาหลีใต้จะใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและกรอบการวินิจฉัยที่พัฒนาแล้วของตน มอบการสนับสนุนที่เหมาะสมในแต่ละกรณี อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนของเกาหลี โดยเฉพาะผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีเศรษฐกิจหมุนเวียน สามารถขยายการดำเนินงานไปสู่ระดับนานาชาติ
ในฐานะเจ้าภาพ เกาหลีใต้ได้แสดงเจตจำนงชัดเจนในการผลักดันประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นวาระระดับโลก ทั้งในแง่ของการจัดการขยะพลาสติก การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน โดยได้ออก “ยุทธศาสตร์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติฉบับที่ 5” ในเดือนธันวาคม 2023 ซึ่งกำหนดเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรมในการผลักดันพื้นที่คุ้มครองให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศอย่างน้อย 30% ภายในปี 2030
