รายงานของ ESA สำนักงานอวกาศยุโรป ระบุว่ามีขยะมากเกินไปในวงโคจรของโลก

รายงานของ ESA สำนักงานอวกาศยุโรป ระบุว่ามีขยะมากเกินไปในวงโคจรของโลก

 

วงโคจรโลกกำลังเผชิญปัญหาเศษซากสะสมมากเกินควบคุม นักวิทยาศาสตร์เร่งหาทางรับมือก่อนเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่แบบเคสเลอร์

 

วงโคจรของโลกไม่ใช่ทรัพยากรของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นทรัพยากรของมนุษยชาติทั้งโลก หากไม่จัดการปัญหาขยะอวกาศร่วมกัน ปัญหานี้จะไม่เพียงแต่ส่งผลต่อภารกิจทางวิทยาศาสตร์และเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังอาจกระทบต่อความปลอดภัยของมนุษย์ในอวกาศ และความสามารถของเราที่จะใช้ประโยชน์จากอวกาศในอนาคต

ESA ส่งสัญญาณเตือนอย่างหนักแน่นว่า “ถึงเวลาแล้วที่โลกจะต้องรวมพลังในการรักษาวงโคจรของโลกให้ปลอดภัยสำหรับทุกคน” และหากไม่เริ่มลงมืออย่างจริงจังในวันนี้ พื้นที่รอบโลกที่เคยไร้พรมแดน อาจกลายเป็นเขตอันตรายที่มนุษย์ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป

 
 

— ขยะอวกาศเพิ่มขึ้น

สำนักงานอวกาศยุโรป (European Space Agency: ESA) เผยรายงานสภาพแวดล้อมอวกาศประจำปี 2025 ซึ่งระบุชัดเจนว่าปัญหาขยะอวกาศหรือ “เศษซากในวงโคจร” กำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่ากังวล โดยเฉพาะในวงโคจรระดับต่ำ (Low Earth Orbit) ที่เป็นพื้นที่ใช้งานหลักของดาวเทียมและสถานีอวกาศนานาชาติ

แม้จะมีมาตรการลดผลกระทบจากขยะอวกาศเพิ่มขึ้นในช่วงหลัง แต่รายงานระบุว่า “จำนวนวัตถุที่ปล่อยขึ้นสู่อวกาศในแต่ละปีกลับมีมากกว่าปริมาณวัตถุที่ตกกลับสู่โลกอย่างปลอดภัย” ส่งผลให้เศษซากสะสมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ และเสี่ยงที่จะเกิด “ปฏิกิริยาเคสเลอร์” (Kessler Syndrome) ซึ่งเป็นภาวะที่เศษวัตถุต่างๆ ในอวกาศชนกันเอง จนแตกตัวกลายเป็นขยะอวกาศชุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้วงโคจรบางระดับอาจไม่สามารถใช้งานได้อีกในอนาคต

 

ภาพแสดงเศษซากที่ลอยฟุ้งอยู่ในวงโคจรของโลก (ESA)
ภาพแสดงเศษซากที่ลอยฟุ้งอยู่ในวงโคจรของโลก (ESA)

 

 

“มีฉันทามติทางวิทยาศาสตร์ว่าแม้จะไม่มีการปล่อยยานเพิ่มเติม จำนวนเศษซากในอวกาศก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเหตุการณ์การแตกกระจายจะทำให้มีเศษซากใหม่ๆ เข้ามาเร็วกว่าที่เศษซากจะกลับเข้ามาในชั้นบรรยากาศได้ตามธรรมชาติ ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าอาการเคสเลอร์”

 

“ปฏิกิริยาลูกโซ่ดังกล่าวสามารถทำให้วงโคจรบางวงไม่ปลอดภัยและไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป เนื่องจากเศษซากจะชนกันและแตกกระจายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่งผลให้เกิดผลกระทบแบบลูกโซ่” 

 

“นั่นหมายความว่าการไม่เพิ่มเศษซากใหม่ๆ เข้ามาไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว สิ่งแวดล้อมของเศษซากในอวกาศจะต้องได้รับการทำความสะอาดอย่างจริงจัง”

 

 

กราฟที่แสดงจำนวนการชนกันในอวกาศที่เพิ่มขึ้นในอัตราการปล่อยต่อเนื่องในปี 2025 (สีแดง) และหากไม่มีการปล่อยวัตถุเพิ่มเติมอีก (สีน้ำเงิน) (ESA)

 

 

— อันตรายที่คืบคลานอย่างเงียบงัน

ปัจจุบันมีวัตถุในวงโคจรของโลกที่สามารถติดตามได้ราว 40,000 ชิ้น โดยในจำนวนนั้นมีเพียงประมาณ 11,000 ชิ้นเท่านั้นที่ยังคงใช้งานอยู่ ส่วนที่เหลือเป็นเศษซากจากดาวเทียมหมดอายุ ชิ้นส่วนจรวด และวัตถุจากเหตุการณ์การแตกกระจายต่างๆ

หนึ่งในข้อมูลที่น่ากังวลจากรายงานคือ “แม้จะหยุดปล่อยวัตถุใหม่เข้าสู่วงโคจรโดยสิ้นเชิงในวันนี้ จำนวนขยะอวกาศก็ยังจะเพิ่มขึ้นต่อไปอยู่ดี” เนื่องจากเศษชิ้นส่วนที่มีอยู่สามารถชนกันจนก่อให้เกิดขยะใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะยิ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดหายนะบนวงโคจร เช่น การทำลายดาวเทียมที่กำลังใช้งานหรือแม้แต่ส่งผลกระทบต่อภารกิจของมนุษย์ในอวกาศ

 
 

— ปัจจัยที่เร่งการสะสมของขยะอวกาศ

นอกจากการชนกันระหว่างวัตถุในวงโคจรแล้ว ESA ยังระบุว่ามีเหตุการณ์การแตกกระจายของวัตถุในอวกาศที่ไม่ได้เกิดจากการชนกัน เช่น การระเบิดของแบตเตอรี่ การรั่วของถังเชื้อเพลิง หรือการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติของชิ้นส่วนต่างๆ สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เกิดเศษขยะชิ้นเล็กๆ นับพันชิ้นได้ในแต่ละครั้ง

ในปี 2024 เพียงปีเดียว ESA บันทึกเหตุการณ์การแตกกระจายที่ไม่ได้เกิดจากการชนถึง 11 ครั้ง และเหตุการณ์เหล่านี้สร้างขยะอวกาศอย่างน้อย 2,633 ชิ้น ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในกลุ่มแหล่งกำเนิดขยะอวกาศในปีนั้น

เนื่องจากเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้วางแผนและควบคุมไม่ได้ เราจึงไม่สามารถทำอะไรเพื่อให้แน่ใจว่าเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นอยู่ในวงโคจรที่สลายตัวซึ่งจะทำให้เศษชิ้นส่วนเหล่านั้นถูกเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศของโลกโดยไม่เป็นอันตราย

 
 

— แม้ชิ้นเล็กก็อันตราย

แม้เศษซากเหล่านี้จะมีขนาดเล็กจนน้อยคนนึกถึง แต่ด้วยความเร็วที่มันเคลื่อนที่ในวงโคจร ซึ่งอาจสูงถึง 28,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้เพียงเศษโลหะขนาดเท่าหัวน็อตก็สามารถสร้างความเสียหายต่อดาวเทียมหรือยานอวกาศได้อย่างรุนแรง

ไม่เพียงแค่ดาวเทียมเอกชนหรือการสื่อสารของโลกเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่รวมถึงสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) และกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลด้วยเช่นกัน

 
 

— การควบคุมและกำจัดขยะเริ่มได้ผล

แม้สถานการณ์จะน่าวิตก แต่รายงานของ ESA ก็สะท้อนถึงพัฒนาการในด้านบวกเช่นกัน โดยระบุว่า

  • จรวดประมาณ 90% ที่โคจรในวงโคจรต่ำของโลก (LEO) สามารถกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศได้ภายใน 25 ปี ตามมาตรฐานเดิม
  • มากกว่าครึ่งหนึ่งของวัตถุที่ปล่อยขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้ถูกควบคุมให้เผาไหม้ในชั้นบรรยากาศอย่างปลอดภัยแล้ว
  • กว่า 80% ปฏิบัติตามมาตรฐานใหม่ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่ง ESA เริ่มใช้ในปี 2023 ที่กำหนดให้วัตถุต้องออกจากวงโคจรภายใน 5 ปี

ESA ชี้ว่าหากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป ก็จะช่วยลดโอกาสการสะสมของขยะอวกาศได้ในระยะยาว

 
 

— ถึงเวลา “ทำความสะอาดอวกาศ” อย่างจริงจัง

ถึงแม้การหยุดเพิ่มเศษซากใหม่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่นั่นยังไม่เพียงพออีกต่อไป ESA ย้ำว่าขณะนี้สิ่งแวดล้อมในวงโคจรจำเป็นต้องได้รับการ “ทำความสะอาดอย่างเป็นระบบ”

ความคิดริเริ่มต่างๆ เช่น การใช้ยานอวกาศที่สามารถดึงขยะกลับสู่โลก การพัฒนาตาข่ายอวกาศ หรือหุ่นยนต์ดักจับขยะล้วนเป็นแนวทางที่อยู่ระหว่างการทดลอง และจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากทั่วโลก ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์การระหว่างประเทศ โดยหวังว่าพวกเราจะร่วมมือกันทำให้วงโคจรของโลกเป็นพื้นที่ที่สามารถใช้งานได้สำหรับทุกคน

 

 

อ้างอิง : https://www.sciencealert.com/esa-report-says-theres-too-much-junk-in-earth-orbit-trunk?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR6qyDZ6a0wkm6r6MhNyGwXSNN_FrLm90DbOdChIYicnPNDTcn_6TpRyJPepYg_aem_WcDenDXzdNYqJDp1tyDbHg#59eavutei36tzsio9tc33tvnioswnuy7l