ยูนิเซฟ ชี้! ฝุ่น PM2.5 คร่าชีวิตเด็กเอเชียกว่า 100 คนต่อวัน เตือนเด็กไทย 13.6 ล้านคน เสี่ยงโรคจากมลพิษอากาศ

ยูนิเซฟ ชี้! ฝุ่น PM2.5 คร่าชีวิตเด็กเอเชียกว่า 100 คนต่อวัน เตือนเด็กไทย 13.6 ล้านคน เสี่ยงโรคจากมลพิษอากาศ

ยูนิเซฟ ชี้ ฝุ่น PM2.5 ทำเด็กทั่วโลกเสียชีวิต วันละเกือบ 2,000 คน และเด็กในเอเชียกว่า 100 คนต่อวัน ขณะที่เด็กไทย 13.6 ล้านคนเผชิญความเสี่ยงจากค่าฝุ่นที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ซึ่งมากกว่าผลกระทบจากภัยพิบัติอื่น ๆ เช่น น้ำท่วม คลื่นความร้อน และภัยแล้ง

 

 

 

เด็กทั่วโลก เสียชีวิตจาก ฝุ่น PM2.5 วันละเกือบ 2,000 คน

 

รายงานสภาวะอากาศโลก (the State of Global Air) ฉบับที่ 5 ซึ่งเผยแพร่โดย Health Effects Institute และยูนิเซฟ ชี้ว่า ในปี 2564 มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีราว 700,000 คนทั่วโลก หรือวันละเกือบ 2,000 คน ต้องเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ ซึ่งได้กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับที่สองของการเสียชีวิตของเด็กกลุ่มอายุนี้ทั่วโลก รองจากภาวะทุพโภชนาการ รายงานยังระบุด้วยว่า ฝุ่น PM 2.5 เป็นตัวบ่งชี้ที่แม่นยำและชัดเจนที่สุดในการคาดการณ์ปัญหาสุขภาพของประชากรทั่วโลกในอนาคต

 

เด็กกลุ่มเปราะบางที่สุด คือกลุ่มที่ต้องรับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศมากที่สุด เพราะพวกเขามีทางเลือกน้อยกว่าที่จะปกป้องตัวเองจากฝุ่น PM 2.5 ข้อมูลทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า เด็กในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่มีรายได้สูง โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าอย่างชัดเจน

 

 

คร่าชีวิตเด็กเอเชีย-แปซิฟิก กว่า 100 คนต่อวัน

 

นอกจากนี้ การวิเคราะห์ล่าสุดของยูนิเซฟ ยังเผยให้เห็นถึงผลกระทบอันเลวร้ายของมลพิษทางอากาศต่อเด็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ซึ่งมักรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง หรือตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนเมษายน โดยมีความเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กว่า 100 คนในแต่ละวัน

 

ทั้งนี้ การวิเคราะห์เผยให้เห็นว่า เด็กทุกคนในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก หรือประมาณ 500 ล้านคน อาศัยอยู่ในประเทศที่มลพิษทางอากาศอยู่ในระดับที่เป็นอันตราย มากกว่าครึ่งหนึ่งของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี มีความเชื่อมโยงกับมลพิษทางอากาศในครัวเรือนจากการใช้เชื้อเพลิงแข็งในการหุงต้มและให้ความร้อน

 

สำหรับ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก มีเด็ก 325 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศที่ระดับฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ ฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยต่อปีสูงกว่าระดับที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ถึง 5 เท่า และเด็ก 373 ล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศที่มีระดับไนโตรเจนไดออกไซด์ในระดับที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ เด็กร้อยละ 91 หรือประมาณ 453 ล้านคน อาศัยอยู่ในประเทศที่มลพิษจากโอโซนเกินค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด

 

ในประเทศที่มีระดับฝุ่น PM2.5 สูงสุด มักเกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เชื้อเพลิงชีวมวล และของเสียทางการเกษตร ซึ่งไม่เพียงก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศเท่านั้น แต่ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกด้วย

 

จูน คูนูกิ ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่า “ทุกลมหายใจคือชีวิต แต่สำหรับเด็กจำนวนมาก ลมหายใจอาจนำมาซึ่งอันตราย ในช่วงเวลาที่ร่างกายและสมองของเด็กกำลังพัฒนา อากาศที่พวกเขาหายใจเข้าไปกลับเต็มไปด้วยมลพิษในระดับที่เป็นอันตราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต ทำลายปอด และบั่นทอนพัฒนาการทางสติปัญญา”

 

เกือบ 1 ใน 4 ของเด็กอายุต่ำกว่า 51 ปี ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ โดยมลพิษทางอากาศสามารถส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพิ่มความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักแรกเกิดต่ำ เมื่อเติบโตขึ้น เด็กยังมีโอกาสเป็นโรคหอบหืด ปอดถูกทำลาย และมีพัฒนาการล่าช้า ในขณะเดียวกัน เด็กจากครอบครัวยากจนที่อาศัยอยู่ใกล้โรงงานหรือทางหลวง ซึ่งมีระดับมลพิษสูง ยิ่งเสี่ยงต่ออันตรายนี้มากขึ้น

 

 

เด็กไทย 13.6 ล้านคน เสี่ยงโรคจาก PM2.5

 

ขณะที่ รายงานจาก Over the Tipping Point Report ของยูนิเซฟในปี 2566 พบว่า เด็กในประเทศไทยที่ต้องเผชิญความเสี่ยงสูงจากฝุ่น PM 2.5 มีจำนวนมากกว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติอื่น ๆ เช่น น้ำท่วม คลื่นความร้อน และภัยแล้ง

 

สำหรับฝุ่น PM 2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งเล็กพอที่จะเข้าสู่ปอดลึกและกระแสเลือด อนุภาคเหล่านี้สามารถทำลายระบบอวัยวะหลายส่วน และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคหอบหืด ปอดอักเสบ และโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังในเด็ก การสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในระยะยาวยังเชื่อมโยงกับโรคไม่ติดต่อในผู้ใหญ่ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน และมะเร็งปอด

 

ทั้งนี้ ระดับฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทยที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้มีการเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ยูนิเซฟกำลังดำเนินการวิจัยโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อปรับปรุงอาคารและห้องเรียนให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติทางสภาพอากาศ รวมถึงฝุ่น PM 2.5 ได้ดีขึ้น งานวิจัยนี้คาดว่าจะเผยแพร่ในปีนี้ จะเป็นข้อมูลสำคัญในการผลักดันการดำเนินการของรัฐบาล และระดมทรัพยากรเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม

 

เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเป็นกลุ่มที่เปราะบางต่อมลพิษทางอากาศเป็นพิเศษ โดยฝุ่น PM2.5 สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และส่งผลต่อเนื่องในระยะยาว เช่น การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ และปัญหาการพัฒนาสมอง เด็กยังหายใจรับอากาศมากกว่าผู้ใหญ่เมื่อเทียบปริมาณต่อน้ำหนักตัว และดูดซับมลพิษมากกว่าผู้ใหญ่ ในขณะที่ปอด ร่างกาย และสมองยังคงเจริญเติบโตไม่เต็มที่

 

 

จำนวนเด็กที่เผชิญอันตรายจากสัมผัสกับมลพิษทางอากาศ (PM2.5) สูง ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ดังนี้

  1. จีน 289.3 ล้านคน
  2. อินโดนีเซีย 74 ล้านคน
  3. เวียดนาม 25 ล้านคน
  4. ฟิลิปปินส์ 17.9 ล้านคน
  5. เมียนมา 17.2 ล้านคน
  6. ไทย 13.6 ล้านคน
  7. มาเลเซีย 8.1 ล้านคน
  8. เกาหลีเหนือ 6 ล้านคน
  9. กัมพูชา 5.99 ล้านคน
  10. ลาว 2.8 ล้านคน

 

นางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า เราจำเป็นต้องมีความมุ่งมั่น ความร่วมมือ และการดำเนินการอย่างเด็ดขาดจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคธุรกิจ เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอย่างจริงจัง เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เด็กทุกคนเติบโตในโลกที่ปลอดภัย สะอาด และยั่งยืน

 

 

อ้างอิง

ยูนิเซฟ ประเทศไทย

https://shorturl.asia/qiNQc

https://www.unicef.org/eap/air-pollution-childrens-rights

https://shorturl.asia/QDhuZ

https://www.bangkokbiznews.com/environment/1164953

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

 

PM2.5 กับเสียงสะท้อนจากโลกออนไลน์ ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของคนไทย