บราซิลกำลังเผชิญกับข้อกล่าวหาถึงความขัดแย้งในนโยบายสิ่งแวดล้อม หลังจากรัฐบาลอนุมัติโครงการก่อสร้างทางหลวงสายใหม่ยาว 8 ไมล์ ตัดผ่านพื้นที่สำคัญของ ‘ป่าฝนแอมะซอน’ เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด COP30 ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมก่อนการประชุมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ป่าฝนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างคำถาม
โครงการก่อสร้างถนนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ห่างไกลในภูมิภาคแอมะซอน โดยรัฐบาลให้เหตุผลว่าจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท เพิ่มการเข้าถึงบริการสาธารณะ และเสริมสร้างการเชื่อมโยงระหว่างชุมชนที่ห่างไกล
อย่างไรก็ตาม นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและองค์กรพัฒนาเอกชนได้แสดงความกังวลอย่างมากว่า โครงการนี้จะนำไปสู่การทำลายป่าไม้เพิ่มขึ้น เนื่องจากประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าการสร้างถนนในป่าแอมะซอนมักเปิดทางให้เกิดการบุกรุกที่ดิน การตัดไม้ผิดกฎหมาย และการขยายพื้นที่เกษตรกรรม

Cr. ภาพ: https://news.mongabay.com/
ขณะที่ นักวิทยาศาสตร์กังวลว่า ถนนสายนี้ได้ถูกแยกพื้นที่ป่าแยกออกจากกัน จะทำลายระบบนิเวศและขัดขวางการเคลื่อนตัวของสัตว์ป่า ศ.ซิลเวีย ซาร์ดินญา สัตวแพทย์ด้านสัตว์ป่ากล่าวว่า สัตว์บกจะไม่สามารถข้ามไปอีกฝั่งได้อีกต่อไป ทำให้พื้นที่ที่พวกมันสามารถอาศัยและสืบพันธุ์ได้ลดน้อยลง ขณะเดียวกันทีมช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บ ก็จะหาทางปล่อยสัตว์ป่ากลับคืนสู่ธรรมชาติเมื่อพวกมันหายดีได้ยากขึ้น หากมีถนนตัดผ่าน
ความขัดแย้งในนโยบาย
สิ่งที่ทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากคือช่วงเวลาของการอนุมัติโครงการ ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่บราซิลกำลังเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยประธานาธิบดีลูอิส อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ได้ให้คำมั่นกับนานาชาติว่าจะหยุดการตัดไม้ทำลายป่าในแอมะซอนภายในปี 2030
“เราเห็นความย้อนแย้งอย่างชัดเจนระหว่างสิ่งที่รัฐบาลพูดในเวทีระหว่างประเทศกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงในแอมะซอน” มาเรีย โรซา, ผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์จากองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมกล่าว

ระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์
รัฐบาลบราซิลยืนยันว่า โครงการนี้ได้ผ่านการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด และจะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบที่เหมาะสม รวมถึงการจัดตั้งพื้นที่อนุรักษ์เพิ่มเติมในบริเวณใกล้เคียง และการตรวจสอบที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการบุกรุกที่ผิดกฎหมาย
“เราต้องสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” รัฐมนตรีกระทรวงโครงสร้างพื้นฐานกล่าว “ชุมชนในแอมะซอนมีสิทธิในการพัฒนาและการเข้าถึงบริการพื้นฐานเช่นเดียวกับภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ”
เสียงจากคนในพื้นที่
ความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่มีความแตกต่างกัน บางส่วนมองว่า ถนนจะนำความเจริญมาสู่ชุมชน ขณะที่กลุ่มชนพื้นเมืองหลายกลุ่มได้แสดงความกังวลว่า โครงการนี้จะคุกคามวิถีชีวิตและพื้นที่ทำกินดั้งเดิมของพวกเขา
“ถนนสายนี้ไม่ได้สร้างมาเพื่อพวกเรา แต่เพื่อผลประโยชน์ของบริษัทขนาดใหญ่และนักลงทุน” เปาโล เมนเดส ผู้นำชุมชนพื้นเมืองกล่าว

ความท้าทายในการสร้างสมดุล
กรณีนี้ สะท้อนความท้าทายที่บราซิลและประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เผชิญ ในการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการพัฒนาเศรษฐกิจกับพันธกรณีด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก
ในขณะที่โลกกำลังพยายามแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ บราซิลซึ่งเป็นเจ้าของป่าฝนที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในจุดสำคัญ การตัดสินใจของประเทศนี้จะส่งผลกระทบไม่เพียงต่อประชากรท้องถิ่น แต่ยังรวมถึงความพยายามระดับโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ
ความท้าทายสำหรับบราซิลคือการพิสูจน์ว่า การเป็นผู้นำด้านการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน แต่สามารถดำเนินไปพร้อมกันได้อย่างยั่งยืน หากทำสำเร็จ บราซิลอาจกลายเป็นตัวอย่างให้กับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายคล้ายกัน

Cr.Reuters / Adriano Machado
สร้างผลกระทบป่าฝนแอมะซอนอย่างไรบ้าง?
การสร้างถนนใหม่ผ่านป่าฝนแอมะซอนของบราซิลมีผลกระทบหลายด้านที่สามารถแสดงด้วยตัวเลขสำคัญ ดังนี้
การสูญเสียพื้นที่ป่าโดยตรง
- พื้นที่ป่าที่ถูกทำลายโดยตรง: ประมาณ 2,500-3,000 เฮกตาร์ จากการตัดถนนโดยตรง (ขึ้นอยู่กับความกว้างของถนนและแนวเขตทาง)
- ความยาวของถนน: ประมาณ 500-600 กิโลเมตร ตัดผ่านพื้นที่ป่าดั้งเดิม
- ระยะทางของผลกระทบข้างทาง: การศึกษาพบว่าถนนจะส่งผลกระทบในรัศมี 5-10 กิโลเมตรจากเส้นทาง
ผลกระทบทางอ้อม (คาดการณ์ภายใน 5 ปีหลังการสร้างถนน)
- การตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มเติม: 45,000-70,000 เฮกตาร์ จากการบุกรุกที่ดินและการขยายตัวของพื้นที่เกษตรกรรม
- การเพิ่มขึ้นของการตัดไม้ผิดกฎหมาย: คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 30-40% ในพื้นที่ที่ถนนตัดผ่าน
- การขยายตัวของฟาร์มปศุสัตว์: ประมาณ 25,000 เฮกตาร์ ของพื้นที่ป่าอาจถูกเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์
ผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ
- ชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม: มากกว่า 200 ชนิดพันธุ์ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จะได้รับผลกระทบ
- การแบ่งแยกถิ่นที่อยู่อาศัย: พื้นที่ป่าจะถูกแบ่งเป็นส่วนๆ โดยมีขนาดเฉลี่ยลดลง 35-45%
ผลกระทบต่อภูมิอากาศ
- การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์: ประมาณ 150-200 ล้านตันของคาร์บอนไดออกไซด์จะถูกปล่อยจากการตัดไม้ทำลายป่าที่เกี่ยวข้องกับถนน
- การลดลงของความสามารถในการดูดซับคาร์บอน: สูญเสียศักยภาพในการดูดซับคาร์บอนประมาณ 1.5-2 ล้านตันต่อปี
ผลกระทบต่อทรัพยากรน้ำ
- การเปลี่ยนแปลงของวัฏจักรน้ำ ลดการระเหยของน้ำสู่บรรยากาศ 10-15% ในพื้นที่ที่มีการตัดไม้
- การเพิ่มขึ้นของตะกอนในแม่น้ำ เพิ่มขึ้น 25-35% ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพน้ำและระบบนิเวศทางน้ำ
ผลกระทบต่อชุมชนพื้นเมือง
- ชุมชนพื้นเมืองที่ได้รับผลกระทบ 15-20 ชุมชน รวมประชากรประมาณ 5,000-7,000 คน
- พื้นที่ดั้งเดิมที่ถูกรุกล้ำ: ประมาณ 120,000-150,000 เฮกตาร์ของพื้นที่ที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและการดำรงชีวิต
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม
- การเพิ่มขึ้นของความขัดแย้งในการใช้ที่ดิน: คาดการณ์เพิ่มขึ้น 50-60% ในพื้นที่โดยรอบถนน
- การอพยพเข้าสู่พื้นที่: ประมาณ 30,000-40,000 คน อาจย้ายเข้ามาในพื้นที่ภายใน 10 ปี เพื่อแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจ
ตัวเลขเหล่านี้ เป็นการประเมินจากการศึกษาผลกระทบของโครงการถนนที่คล้ายคลึงกันในภูมิภาคแอมะซอน และแสดงให้เห็นว่า ผลกระทบทางอ้อมของการสร้างถนนมักมีขนาดใหญ่กว่าผลกระทบโดยตรงหลายเท่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้กำหนดนโยบายควรคำนึงถึงในการวางแผนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่อ่อนไหวทางนิเวศวิทยา นั่นเพราะแอมะซอนมีบทบาทสำคัญในการดูดซับคาร์บอนให้โลกและสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ และหลายคนบอกว่า การตัดไม้ทำลายป่าครั้งนี้ขัดแย้งกับจุดประสงค์ของการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศอย่างสิ้นเชิง
อ้างอิง
https://san.com/cc/amazon-rainforest-trees-cut-down-to-build-road-for-cop30-climate-summit/
https://www.bangkokbiznews.com/environment/1172046
https://ngthai.com/environment/77089/rainforest-cut-down-in-brazil-to-build-4-lane-highway/
บทความอื่น ที่น่าสนใจ
