เส้นทางย้อนแย้ง? บราซิลตัดต้นไม้ สร้างถนนใหม่ ทำลาย ‘ป่าฝนแอมะซอน’ รับเจ้าภาพประชุม COP30

เส้นทางย้อนแย้ง? บราซิลตัดต้นไม้ สร้างถนนใหม่ ทำลาย ‘ป่าฝนแอมะซอน’ รับเจ้าภาพประชุม COP30

บราซิลกำลังเผชิญกับข้อกล่าวหาถึงความขัดแย้งในนโยบายสิ่งแวดล้อม หลังจากรัฐบาลอนุมัติโครงการก่อสร้างทางหลวงสายใหม่ยาว 8 ไมล์ ตัดผ่านพื้นที่สำคัญของ ‘ป่าฝนแอมะซอน’ เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด COP30 ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมก่อนการประชุมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

 

ป่าฝนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

 

ป่าแอมะซอน เป็นป่าฝนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสภาพภูมิอากาศโลก ถึงเช่นนั้นเมื่อเร็วๆนี้สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐบาลบราซิลเตรียมจะสร้างทางหลวงสายใหม่ ซึ่งต้องตัดผ่านป่าแอมะซอน เพื่อใช้สำหรับการประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ ครั้งที่ 30 หรือ COP30 ที่จะจัดขึ้นในเมืองเบเลง ประเทศบราซิลในช่วงพฤศจิกายนนี้
รายงานข่าวระบุว่า ทางหลวง 4 เลน สายใหม่ ระยะทางประมาณ 8 ไมล์ที่จะเกิดขึ้นนี้ ได้ตัดผ่านป่าฝนแอมะซอนที่ได้รับการคุ้มครองพื้นที่นับหมื่นเอเคอร์ โดยที่เหตุผลของการก่อสร้างนี้คือการบรรเทาปัญหาการจราจรในเมืองซึ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมที่จะมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 50,000 คน

 

 

แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างคำถาม

 

โครงการก่อสร้างถนนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ห่างไกลในภูมิภาคแอมะซอน โดยรัฐบาลให้เหตุผลว่าจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท เพิ่มการเข้าถึงบริการสาธารณะ และเสริมสร้างการเชื่อมโยงระหว่างชุมชนที่ห่างไกล

อย่างไรก็ตาม นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและองค์กรพัฒนาเอกชนได้แสดงความกังวลอย่างมากว่า โครงการนี้จะนำไปสู่การทำลายป่าไม้เพิ่มขึ้น เนื่องจากประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าการสร้างถนนในป่าแอมะซอนมักเปิดทางให้เกิดการบุกรุกที่ดิน การตัดไม้ผิดกฎหมาย และการขยายพื้นที่เกษตรกรรม

 

                                                              Cr. ภาพ: https://news.mongabay.com/

 

ขณะที่ นักวิทยาศาสตร์กังวลว่า ถนนสายนี้ได้ถูกแยกพื้นที่ป่าแยกออกจากกัน จะทำลายระบบนิเวศและขัดขวางการเคลื่อนตัวของสัตว์ป่า ศ.ซิลเวีย ซาร์ดินญา สัตวแพทย์ด้านสัตว์ป่ากล่าวว่า สัตว์บกจะไม่สามารถข้ามไปอีกฝั่งได้อีกต่อไป ทำให้พื้นที่ที่พวกมันสามารถอาศัยและสืบพันธุ์ได้ลดน้อยลง ขณะเดียวกันทีมช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บ ก็จะหาทางปล่อยสัตว์ป่ากลับคืนสู่ธรรมชาติเมื่อพวกมันหายดีได้ยากขึ้น หากมีถนนตัดผ่าน

 

ความขัดแย้งในนโยบาย

 

สิ่งที่ทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากคือช่วงเวลาของการอนุมัติโครงการ ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่บราซิลกำลังเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยประธานาธิบดีลูอิส อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ได้ให้คำมั่นกับนานาชาติว่าจะหยุดการตัดไม้ทำลายป่าในแอมะซอนภายในปี 2030

 

“เราเห็นความย้อนแย้งอย่างชัดเจนระหว่างสิ่งที่รัฐบาลพูดในเวทีระหว่างประเทศกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงในแอมะซอน” มาเรีย โรซา, ผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์จากองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมกล่าว

 

 

ระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์

 

รัฐบาลบราซิลยืนยันว่า โครงการนี้ได้ผ่านการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด และจะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบที่เหมาะสม รวมถึงการจัดตั้งพื้นที่อนุรักษ์เพิ่มเติมในบริเวณใกล้เคียง และการตรวจสอบที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการบุกรุกที่ผิดกฎหมาย

 

“เราต้องสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” รัฐมนตรีกระทรวงโครงสร้างพื้นฐานกล่าว “ชุมชนในแอมะซอนมีสิทธิในการพัฒนาและการเข้าถึงบริการพื้นฐานเช่นเดียวกับภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ”

 

เสียงจากคนในพื้นที่

 

ความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่มีความแตกต่างกัน บางส่วนมองว่า ถนนจะนำความเจริญมาสู่ชุมชน ขณะที่กลุ่มชนพื้นเมืองหลายกลุ่มได้แสดงความกังวลว่า โครงการนี้จะคุกคามวิถีชีวิตและพื้นที่ทำกินดั้งเดิมของพวกเขา

 

“ถนนสายนี้ไม่ได้สร้างมาเพื่อพวกเรา แต่เพื่อผลประโยชน์ของบริษัทขนาดใหญ่และนักลงทุน” เปาโล เมนเดส ผู้นำชุมชนพื้นเมืองกล่าว

 

 

ความท้าทายในการสร้างสมดุล

 

กรณีนี้ สะท้อนความท้าทายที่บราซิลและประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เผชิญ ในการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการพัฒนาเศรษฐกิจกับพันธกรณีด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก

 

ในขณะที่โลกกำลังพยายามแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ บราซิลซึ่งเป็นเจ้าของป่าฝนที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในจุดสำคัญ การตัดสินใจของประเทศนี้จะส่งผลกระทบไม่เพียงต่อประชากรท้องถิ่น แต่ยังรวมถึงความพยายามระดับโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ

 

ความท้าทายสำหรับบราซิลคือการพิสูจน์ว่า การเป็นผู้นำด้านการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน แต่สามารถดำเนินไปพร้อมกันได้อย่างยั่งยืน หากทำสำเร็จ บราซิลอาจกลายเป็นตัวอย่างให้กับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายคล้ายกัน

 

                                                                    Cr.Reuters / Adriano Machado

 

สร้างผลกระทบป่าฝนแอมะซอนอย่างไรบ้าง?

 

การสร้างถนนใหม่ผ่านป่าฝนแอมะซอนของบราซิลมีผลกระทบหลายด้านที่สามารถแสดงด้วยตัวเลขสำคัญ ดังนี้

 

การสูญเสียพื้นที่ป่าโดยตรง

 

  1. พื้นที่ป่าที่ถูกทำลายโดยตรง: ประมาณ 2,500-3,000 เฮกตาร์ จากการตัดถนนโดยตรง (ขึ้นอยู่กับความกว้างของถนนและแนวเขตทาง)
  2. ความยาวของถนน: ประมาณ 500-600 กิโลเมตร ตัดผ่านพื้นที่ป่าดั้งเดิม
  3. ระยะทางของผลกระทบข้างทาง: การศึกษาพบว่าถนนจะส่งผลกระทบในรัศมี 5-10 กิโลเมตรจากเส้นทาง

 

ผลกระทบทางอ้อม (คาดการณ์ภายใน 5 ปีหลังการสร้างถนน)

 

  1. การตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มเติม: 45,000-70,000 เฮกตาร์ จากการบุกรุกที่ดินและการขยายตัวของพื้นที่เกษตรกรรม
  2. การเพิ่มขึ้นของการตัดไม้ผิดกฎหมาย: คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 30-40% ในพื้นที่ที่ถนนตัดผ่าน
  3. การขยายตัวของฟาร์มปศุสัตว์: ประมาณ 25,000 เฮกตาร์ ของพื้นที่ป่าอาจถูกเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์

 

ผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ

 

  1. ชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม: มากกว่า 200 ชนิดพันธุ์ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จะได้รับผลกระทบ
  2. การแบ่งแยกถิ่นที่อยู่อาศัย: พื้นที่ป่าจะถูกแบ่งเป็นส่วนๆ โดยมีขนาดเฉลี่ยลดลง 35-45%

 

ผลกระทบต่อภูมิอากาศ

 

  1. การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์: ประมาณ 150-200 ล้านตันของคาร์บอนไดออกไซด์จะถูกปล่อยจากการตัดไม้ทำลายป่าที่เกี่ยวข้องกับถนน
  2. การลดลงของความสามารถในการดูดซับคาร์บอน: สูญเสียศักยภาพในการดูดซับคาร์บอนประมาณ 1.5-2 ล้านตันต่อปี

 

ผลกระทบต่อทรัพยากรน้ำ

 

  1. การเปลี่ยนแปลงของวัฏจักรน้ำ ลดการระเหยของน้ำสู่บรรยากาศ 10-15% ในพื้นที่ที่มีการตัดไม้
  2. การเพิ่มขึ้นของตะกอนในแม่น้ำ เพิ่มขึ้น 25-35% ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพน้ำและระบบนิเวศทางน้ำ

 

ผลกระทบต่อชุมชนพื้นเมือง

 

  1. ชุมชนพื้นเมืองที่ได้รับผลกระทบ 15-20 ชุมชน รวมประชากรประมาณ 5,000-7,000 คน
  2. พื้นที่ดั้งเดิมที่ถูกรุกล้ำ: ประมาณ 120,000-150,000 เฮกตาร์ของพื้นที่ที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและการดำรงชีวิต

 

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม

 

  1. การเพิ่มขึ้นของความขัดแย้งในการใช้ที่ดิน: คาดการณ์เพิ่มขึ้น 50-60% ในพื้นที่โดยรอบถนน
  2. การอพยพเข้าสู่พื้นที่: ประมาณ 30,000-40,000 คน อาจย้ายเข้ามาในพื้นที่ภายใน 10 ปี เพื่อแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจ

 

ตัวเลขเหล่านี้ เป็นการประเมินจากการศึกษาผลกระทบของโครงการถนนที่คล้ายคลึงกันในภูมิภาคแอมะซอน และแสดงให้เห็นว่า ผลกระทบทางอ้อมของการสร้างถนนมักมีขนาดใหญ่กว่าผลกระทบโดยตรงหลายเท่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้กำหนดนโยบายควรคำนึงถึงในการวางแผนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่อ่อนไหวทางนิเวศวิทยา นั่นเพราะแอมะซอนมีบทบาทสำคัญในการดูดซับคาร์บอนให้โลกและสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ และหลายคนบอกว่า การตัดไม้ทำลายป่าครั้งนี้ขัดแย้งกับจุดประสงค์ของการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศอย่างสิ้นเชิง

 

อ้างอิง

https://san.com/cc/amazon-rainforest-trees-cut-down-to-build-road-for-cop30-climate-summit/

https://www.bangkokbiznews.com/environment/1172046

https://ngthai.com/environment/77089/rainforest-cut-down-in-brazil-to-build-4-lane-highway/

 

บทความอื่น ที่น่าสนใจ

จากความหวังสู่ความเป็นจริง! 10 ข้อควรติดตาม จากการประชุม COP28 ถึง COP29 เส้นทางลดโลกร้อนอย่างยั่งยืน