EXIM BANK เปิดแผนปี 68 เดินหน้าสู่ธนาคารเพื่อความยั่งยืน ชี้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกกำลังทวีความรุนแรง ทั้งอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ภัยพิบัติที่รุนแรง และมลพิษทางอากาศ ส่งผลให้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นกว่า 18,000 ฉบับในปัจจุบัน โลกยังต้องการเม็ดเงินสีเขียว (Climate Finance) อีกมากถึง 7.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีในช่วงปี 2567-2573 เตือนผู้ประกอบการความไม่แน่นอนสูงจากนโยบาย Trump 2.0 ค่าเงินบาทผันผวนหนัก แนะป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
นำผู้ประกอบการไทยฝ่ามรสุม ‘ทรัมป์ 2.0’
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือที่เรียกว่า ยุคทรัมป์ 2.0 ทั้งในมิติการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมระหว่างประเทศ
ตลอดจนผลกระทบต่อการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะยังไปต่อได้ ปัจจัยเกื้อหนุน ประกอบด้วย การท่องเที่ยว การใช้จ่ายของภาครัฐ การบริโภค การลงทุน และการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ สงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าตามนโยบายทรัมป์ 2.0 หนี้ครัวเรือนยังสูงถึง 89% และภาคการผลิตยังฟื้นตัวไม่ทันในปีที่ผ่านมา
ปัจจัยหนุนส่งออกไทยปี 68 ยังขยายตัวต่อได้
ดร.รักษ์ เปิดเผยว่า แม้เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอนในยุคทรัมป์ 2.0 แต่เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการท่องเที่ยว การใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภค การลงทุน และการส่งออก
โอกาสการส่งออกของไทยในปี 2568 ยังมีแนวโน้มขยายตัว ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลายประการ
– โอกาสส่งออกทดแทนสินค้าจีน เช่น คอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ
– การขยายตัวของตลาดใหม่ในอินเดีย อาเซียน และตะวันออกกลาง
– การบังคับใช้ข้อตกลงการค้าเสรีไทย-EFTA ฉบับแรกกับกลุ่มประเทศยุโรป
อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายที่ต้องเฝ้าระวัง
– ความเสี่ยงจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยเกินดุลการค้าสูง
– ผลกระทบต่อสินค้าไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีน
– การแข่งขันด้านราคากับสินค้าจีนที่ทะลักเข้าสู่ตลาดโลก
EXIM BANK เตรียมแผนรับมืออย่างไร?
1. มุ่งเป็น Green Development Bank สนับสนุนธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
2. ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วน Portfolio ESG เป็น 50% ภายในปี 2570
3. พัฒนาบริการใหม่ เช่น
– การค้ำประกันหุ้นกู้ระดับ AAA
– บริการที่ปรึกษาทางการเงิน
– การให้สิทธิประโยชน์พิเศษแก่ธุรกิจที่คำนึงถึง ESG
EXIM BANK กับบทบาทการสนับสนุน Climate Finance ของไทย
ดร.รักษ์ กล่าวว่า นอกจากปัญหาความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกยังทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อมนุษย์ รวมถึงภาคธุรกิจ อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นและภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น รวมถึงค่าฝุ่น PM 2.5 ทำให้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมยังเพิ่มจำนวนขึ้นถึงกว่า 18,000 ฉบับในปัจจุบัน โดยโลกและไทยยังต้องการเม็ดเงินสีเขียว (Climate Finance) อีกจำนวนมาก Climate Policy Initiative ประเมินว่า Climate Finance โลกปี 2566 อยู่ที่ราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แม้ว่าเม็ดเงินดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 6 ปีที่ผ่านมา แต่ยังต่ำกว่าความต้องการที่ประเมินว่าสูงถึงราว 7.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีในช่วงปี 2567-2573 เท่ากับว่าโลกยังต้องการ Climate Finance เพิ่มขึ้นราว 5 เท่า
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวต่ออีกว่า ที่ผ่านมา EXIM BANK มีบทบาทอย่างแข็งขันในการสนับสนุน Climate Finance ของไทย และ EXIM BANK จะเดินหน้าต่อยอดความเชี่ยวชาญในฐานะ Green Development Bank เป็นผู้นำผู้ประกอบการไทยสยายปีกสู่ธุรกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศ เพื่อผลักดันและขับเคลื่อนภาคธุรกิจของไทยให้เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ส่งผลให้ Portfolio ที่สนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนแตะระดับ 40% ของ Portfolio ทั้งหมด และมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2570
โดย EXIM BANK ชู 3 กลยุทธ์ Climate Finance พลิกโฉมธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน ดังนี้
1. สนับสนุนด้านเงินทุนสีเขียว
– ให้สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษสำหรับโครงการด้านสิ่งแวดล้อม
– ค้ำประกันหุ้นกู้สีเขียว (Green Bond) ระดับ AAA
– สนับสนุนการระดมทุนผ่านตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม
– จัดสรรวงเงินพิเศษสำหรับการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด
2. พัฒนาระบบนิเวศธุรกิจสีเขียว
– สร้าง Green Export Supply Chain ตลอดห่วงโซ่อุปทาน
– ให้คำปรึกษาด้านการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
– สนับสนุนการรับรองมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมระดับสากล
– เชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรด้านธุรกิจสีเขียว
3. ยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ
– เป็นที่ปรึกษาทางการเงินด้าน ESG
– พัฒนาองค์ความรู้ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม
– สนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม
– ช่วยวางแผนการปรับตัวสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ
เป้าหมายสำคัญ
– เพิ่มสัดส่วน Portfolio ESG เป็น 50% ภายในปี 2570
– สร้างความพร้อมให้ผู้ประกอบการไทยรับมือมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก
– ผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
ยกระดับสู่ธนาคารเพื่อความยั่งยืน พัฒนาระบบนิเวศการส่งออกสีเขียว
ดร.รักษ์ เผยวิสัยทัศน์ว่า ปี 2568 มุ่งพัฒนาระบบนิเวศการส่งออกสีเขียว (Green Export Supply Chain) ผ่าน 3 บริการหลัก ดังนี้
1. สนับสนุนสินเชื่อสีเขียว
– ให้สิทธิประโยชน์และดอกเบี้ยพิเศษแก่ธุรกิจที่คำนึงถึง ESG
– พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่เพื่อสนับสนุนการส่งออกและการลงทุน
2. บริการค้ำประกันหุ้นกู้
– ยกระดับ Credit Rating ของลูกค้าสู่ระดับ AAA
– ช่วยลดต้นทุนการระดมทุนผ่านหุ้นกู้
– เพิ่มความน่าเชื่อถือต่อนักลงทุนสถาบัน
– ช่วยให้ออกหุ้นกู้ได้อายุยาวขึ้นและวงเงินสูงขึ้น
3. บริการที่ปรึกษาทางการเงินครบวงจร
– ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. ตั้งแต่ 2 ตุลาคม 2567
– ให้คำปรึกษาการระดมทุนผ่านตราสารหนี้และตราสารทุน
– แนะนำการควบรวมกิจการ (M&A)
– อยู่ระหว่างขอใบอนุญาตจัดจำหน่ายตราสารหนี้
โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ
– ขยายฐานลูกค้าผ่านบริการทางการเงินที่ครบวงจร
– สร้างทางเลือกในการระดมทุนให้ผู้ประกอบการ
– ผลักดันการพัฒนาธุรกิจที่ยั่งยืนตามแนวทาง ESG
อย่างไรก็ตาม ดร.รักษ์ ยืนยันว่า EXIM BANK จะเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมด้านธุรกิจและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทิศทางการค้าและการลงทุน ในยุคทรัมป์ 2.0 ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งทางการเงินและไม่ใช่การเงิน พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ปรับตัวรับความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ
อ้างอิง
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)
https://www.exim.go.th/th/Newsroom/Press-Releases.aspx