MOU เขื่อนไทย-ลาว และ PDP2024 เปิดทางนำเข้าไฟเพิ่ม ประชาชนได้ประโยชน์หรือแบกรับต้นทุนไฟฟ้าแพงขึ้น?
วันหยุดเขื่อนสากล 14 มีนาคม เป็นวันที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อสะท้อนถึงผลกระทบจากการสร้างเขื่อนทั่วโลก แม้เขื่อนจะถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนา ทั้งการบริหารจัดการน้ำและการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงานในพื้นที่ห่างไกล และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนผ่านโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ แต่ขณะเดียวกัน การพัฒนาเขื่อนจำนวนมากที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินในอดีต ก็นำมาซึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อม การย้ายถิ่นฐานของชุมชน และการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ ส่งผลให้วันนี้กลายเป็นวันรำลึกถึงผลกระทบและเรียกร้องให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืนมากขึ้น
การลงทุนในโครงการเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าของนักลงทุนไทยใน สปป.ลาว กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง แม้ว่าประเทศไทยจะมีปริมาณไฟฟ้าสำรองสูงถึง 14,622.20 เมกะวัตต์ จากกำลังการผลิตทั้งหมด 51,414.30 เมกะวัตต์ ซึ่งสูงกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในปี 2567 ที่ 36,792.10 เมกะวัตต์ แต่ยังคงมีแผนสร้างเขื่อนเพิ่มเติมเพื่อผลิตไฟฟ้าขายในอนาคต อาทิ เขื่อนหลวงพระบาง (1,400 เมกะวัตต์) เขื่อนปากลาย (763 เมกะวัตต์) และแผนการสร้างเขื่อนปากแบง, เซกอง, สานะคาม และภูงอย อีกหลายโครงการ

จุดเริ่มต้นของการซื้อไฟฟ้าจากลาว
การซื้อขายไฟฟ้าระหว่างไทย-ลาวเริ่มต้นขึ้นในปี 2517 กับโครงการน้ำงึม 1 ซึ่งเป็นการซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนพลังน้ำโครงการแรกของทั้งสองประเทศ ราคารับซื้อในขณะนั้นอยู่ที่ 1.20 บาทต่อหน่วยในช่วงที่มีความต้องการไฟฟ้าต่ำ และ 1.60 บาทต่อหน่วยในช่วงพีคของการใช้ไฟฟ้า
ตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา ไทยและลาวได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาไฟฟ้าในลาว รวมทั้งสิ้น 5 ฉบับ ล่าสุดในปี 2565 ได้ขยายกำลังการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มจาก 9,000 เมกะวัตต์ เป็น 10,500 เมกะวัตต์ ซึ่งนำไปสู่การสร้างเขื่อนพลังน้ำหลายแห่งในลาวโดยมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งไฟฟ้าขายให้ประเทศไทย

นักลงทุนไทยครองส่วนใหญ่ของโครงการพลังน้ำในลาว
แม้ว่าเขื่อนเหล่านี้จะตั้งอยู่ในลาว แต่กว่า 90% ของกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ถูกส่งกลับมายังประเทศไทย และจากข้อมูลการถือหุ้นของโครงการ พบว่า 60% ของเขื่อนที่ขายไฟฟ้าให้ไทยเป็นบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นหลักเป็นบริษัทไทย นอกจากนี้ ธนาคารไทย เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงไทย เป็นผู้ให้สินเชื่อแก่โครงการเหล่านี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจพลังงานน้ำในลาวได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากสถาบันการเงินของไทย
│ การสร้างเขื่อนใหม่ เช่น เขื่อนสานะคาม, เขื่อนภูงอย และเขื่อนปากแบง อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิต ของประชาชนที่อาศัยริมฝั่งแม่น้ำโขง
ผลกระทบต่อประชาชนไทยและชุมชนริมแม่น้ำโขง
แม้ว่าการซื้อไฟฟ้าจากลาวอาจช่วยเสริมเสถียรภาพด้านพลังงานของไทย แต่ก็มีข้อกังวลเกี่ยวกับต้นทุนไฟฟ้าที่อาจเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาค่าไฟจากโครงการใหม่ที่สูงขึ้น เช่น โครงการเขื่อนหลวงพระบางมีราคารับซื้อไฟฟ้าอยู่ที่ 2.84 บาทต่อหน่วย ซึ่งสูงกว่าราคาไฟฟ้าเฉลี่ยในประเทศ นอกจากนี้ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงยังเป็นปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา ที่ภาคเหนือและอีสานของไทยเผชิญน้ำท่วมหนักจากการปล่อยน้ำของเขื่อนต้นน้ำในลาว
ภายใต้ร่างแผน PDP2024 ซึ่งกำหนดให้ไทยซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศเพิ่มอีก 3,500 เมกะวัตต์ ทำให้เกิดความกังวลว่าการสร้างเขื่อนในลาวอาจเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งต่อระบบนิเวศน์ของแม่น้ำโขง และต้นทุนค่าไฟฟ้าของประชาชนไทยในระยะยาว

อนาคตของการซื้อไฟฟ้าจากลาว ควรเดินหน้าหรือทบทวน?
การขยายโครงการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนในลาว แม้จะเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจพลังงานและการเงินของไทย แต่ก่อให้เกิดคำถามว่าประชาชนไทยได้รับผลประโยชน์จากนโยบายนี้มากน้อยเพียงใด เมื่อพิจารณาว่าไทยมีไฟฟ้าสำรองจำนวนมาก และราคาค่าไฟฟ้าจากโครงการใหม่มีแนวโน้มสูงขึ้น อีกทั้งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องคำนึงถึง
ในขณะที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าขยายความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้ากับลาว ประชาชนควรมีบทบาทในการตรวจสอบและแสดงความคิดเห็นต่อแผนการพัฒนาไฟฟ้าของประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่านโยบายพลังงานจะสร้างประโยชน์แก่ทุกฝ่ายอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงกลุ่มทุนพลังงานเท่านั้น
ที่มาภาพ :
ระอุส่งท้ายปี “โครงการเขื่อนสานะคาม” หลังสทนช.ประกาศจัด 4 เวที “เดินหน้า?”
เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ :
‘ขยะอาหารไทย’ วิกฤตที่ถูกมองข้าม! ทำร้ายโลกมากกว่าที่คิด
อ้างอิง :
SDG Updates | เขื่อนแม่น้ำโขง (EP.10)
น้ำท่วม เขื่อนลาว นักลงทุนไทย ค่าไฟแพง : สำรวจเขื่อนผลิตไฟฟ้าในลาวที่ขายไฟให้กับไทย