นวัตกรรมไม้ชีวภาพไทยพร้อมเป็นผู้นำวัสดุชีวภาพ เมื่อนักวิจัยไทยคว้ารางวัลระดับโลกด้วยนวัตกรรมวัสดุทดแทนไม้จากของเหลือทิ้งทางการเกษตร
ท่ามกลางวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายสำคัญสองประการ — ปัญหาฝุ่น PM 2.5 จากการเผาเศษวัสดุเกษตร และการปล่อยคาร์บอนจำนวนมหาศาลจากอุตสาหกรรมก่อสร้าง นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทยกำลังแก้ปัญหาทั้งสองนี้พร้อมกัน ด้วยการเปลี่ยนของเหลือทิ้งเป็นทรัพยากรมูลค่าสูง
รางวัลระดับโลกสะท้อนศักยภาพนวัตกรรมไทย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประชุม คำพุฒ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้พัฒนา “BioWood” หรือไม้ชีวภาพ – วัสดุทดแทนไม้ประสิทธิภาพสูงจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ซึ่งล่าสุดสามารถคว้ารางวัลระดับนานาชาติจากเวทีนวัตกรรมที่กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ โดยได้รับรางวัล WIIPA Special Award จาก World Invention Intellectual Property Associations (WIIPA) และรางวัล Gold Medal จาก Association of Polish Inventors and Rationalizers ในงาน “The 18th International Warsaw Invention Show (IWIS 2024)” ณ Warsaw University of Technology สาธารณรัฐโปแลนด์
ความสำเร็จนี้ไม่เพียงยกระดับชื่อเสียงด้านนวัตกรรมของประเทศไทย แต่ยังเป็นการยืนยันถึงศักยภาพของวัสดุชีวภาพไทยในตลาดโลก
แก้ปัญหา PM 2.5 และคาร์บอนฟุตพรินท์ในคราวเดียว
จากปัญหาค่าฝุ่น P.M.2.5 จากการเผาวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข ผศ.ดร.ประชุม กล่าว “ในขณะเดียวกัน ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างต้องการลดการใช้ปูนซีเมนต์ เนื่องจากคอนกรีตมีค่าการปลดปล่อยคาร์บอนที่สูง และต้องการกลับมาพัฒนาการใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นไม้ธรรมชาติ”
นวัตกรรมนี้จึงตอบโจทย์ทั้งการลดการเผาวัสดุเกษตร ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของฝุ่น PM 2.5 ในหลายพื้นที่ และลดคาร์บอนฟุตพรินท์ในภาคการก่อสร้าง โดยทดแทนวัสดุที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงอย่างคอนกรีตด้วยวัสดุชีวมวล
ไทยผู้นำตลาดวัสดุทดแทนไม้ในอาเซียน
ผศ.ดร.ประชุม เปิดเผยว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดของวัสดุทดแทนไม้ที่สำคัญของอาเซียน โดยผลิตวัสดุทดแทนไม้จากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมากที่สุด และยังมีการส่งออกไปยังต่างประเทศมากถึงร้อยละ 50 ของกำลังการผลิต หรือประมาณ 2 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี”
ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางการตลาดอันมหาศาลของวัสดุทดแทนไม้ในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยประเทศไทยมีความได้เปรียบทั้งในแง่ของวัตถุดิบและเทคโนโลยีการผลิต
เทคโนโลยีการผลิตระดับ SME
นวัตกรรมของ ผศ.ดร.ประชุม ไม่เพียงพัฒนาตัววัสดุเท่านั้น แต่ยังพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้มีขนาดเหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการ SME โดยเครื่องจักรใหม่สามารถผลิตแผ่นไม้อัดและผนังแซนด์วิชขนาดใหญ่กว่า 50 x 30 ตารางเซนติเมตร และไม้โครงเคร่ายาว 1-3 เมตร
เครื่องจักรใหม่มีความสูงการฟอร์มรูปชิ้นงานก่อนเข้าเครื่องถึง 50 เซนติเมตร ใช้ระบบไฮดรอลิกขนาด 100 ตัน แรงดัน 20 บาร์ สามารถตั้งอุณหภูมิได้สูงถึง 250 องศาเซลเซียส โดยใช้เวลาผลิตเพียง 7-30 นาทีต่อชิ้น ขึ้นอยู่กับความหนาและชนิดของชีวมวล
หลากหลายผลิตภัณฑ์สำหรับการก่อสร้างครบวงจร
ผลิตภัณฑ์จากนวัตกรรมนี้ครอบคลุมวัสดุก่อสร้างหลักทุกประเภท ได้แก่
- แผ่นไม้อัดขนาด 30 x 30 ตารางเซนติเมตร สำหรับแปรรูปเป็นปาร์เกต์
- แผ่นไม้อัดขนาด 50 x 30 ตารางเซนติเมตร สำหรับแปรรูปเป็นฝ้าเพดาน
- ไม้โครงเคร่าขนาด 5 x 3 นิ้ว ยาว 1-3 เมตร
- อิฐไม้เทียมขนาด 3 x 6 x 14 ลูกบาศก์เซนติเมตร
- ผนังแซนด์วิชขนาด 40 x 20 ตารางเซนติเมตร
ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้สามารถใช้ในการก่อสร้างอาคารไม้สำเร็จรูป (น็อคดาวน์) ที่ประหยัดพลังงาน กันเสียง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
มุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืน
นวัตกรรมไม้ชีวภาพนี้ไม่เพียงแต่เป็นทางออกสำหรับปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทยในการก้าวสู่ตลาดวัสดุก่อสร้างยั่งยืนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก
ในขณะที่โลกกำลังมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ นวัตกรรมเช่นนี้จะมีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: หน่วยวิจัยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, อีเมล: [email protected], โทรศัพท์: 02-5493410
อ้างอิง
กองประชาสัมพันธ์ มทร.ธัญบุรี รายงาน
เรื่องอื่นที่น่าสนใจ