ค่ายวิทยาศาสตร์เพื่อโลก! 20 ปี Power Green สร้างพลังเปลี่ยนอนาคต

ค่ายวิทยาศาสตร์เพื่อโลก! 20 ปี Power Green สร้างพลังเปลี่ยนอนาคต

 

“ค่ายเพาเวอร์กรีน” โดยบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ร่วมกับคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ ม.มหิดล เดินหน้าจัดค่ายเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อมต่อเนื่องเป็นปีที่ 20 เพื่อเสริมสร้างความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและปลูกจิตสำนึกอนุรักษ์ธรรมชาติให้เยาวชนจากทั่วประเทศ

 

 

ปีพิเศษกับแนวคิด “ดีค้าบ – The Decarb Mission” ในวาระครบรอบ 20 ปี ปีนี้ค่ายจัดภายใต้แนวคิด “ดีค้าบ – The Decarb Mission” ลดคาร์บอน ให้โลกคูลล์  โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการลดและหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization)  โดยมีผู้สมัครรวมกว่า 515 คนจาก 304 โรงเรียนทั่วประเทศ ก่อนจะคัดเลือกผู้เข้าร่วมจำนวน 50 คน ที่จะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจ “ดีค้าบ”

 

 

แนวคิดของ “เพาเวอร์กรีน” ที่สอดรับกับประเด็นโลก

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ค่ายเพาเวอร์กรีนยึดแนวคิดหลัก “วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม – เรียนรู้สู่การปฏิบัติ” ซึ่งส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก ฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์ การทำงานเป็นทีม และพัฒนาความเป็นผู้นำ โดยในแต่ละปีจะเลือกหัวข้อที่สอดคล้องกับสถานการณ์โลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ ความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการปรับตัวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

“ตั้งแต่ปี 2549 ที่เราร่วมกับคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เราคุยกันตั้งแต่ต้นเลยว่าอยากทำค่ายเพื่อปลุกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้เยาวชน ไม่ใช่แค่สอนในห้องเรียน แต่ให้พวกเขาได้ลงมือทำ ได้เห็น ได้คิด และได้เป็นคนลงมือเปลี่ยนแปลงจริง ๆ” — พี่ป้อง-รัฐพล สุคันธี ผู้อำนวยการสายอาวุโส สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าว

 

พี่ป้อง-รัฐพล สุคันธี ผู้อำนวยการสายอาวุโส – สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าว

 

ทำไมต้อง “Decarbonization”? 

เมื่อภารกิจโลกลดคาร์บอนกลายเป็นเรื่องของทุกคน

ในปีนี้ ค่ายฯ ตั้งหัวข้อ “The Decarb Mission: ลดคาร์บอนให้โลก” โดยพี่ป้องอธิบายว่า คำว่า Decarbonization หรือ “การลดคาร์บอน” ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็น วาระเร่งด่วนระดับโลก ท่ามกลางสภาวะโลกร้อนที่อุณหภูมิได้เพิ่มขึ้นเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียสแล้ว ถือเป็นสัญญาณที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้อีกต่อไป

แม้หลายคนอาจคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นครัวเรือน เยาวชน ภาครัฐ หรือวิชาการ ต่างมีบทบาทร่วมกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

 

ภารกิจ Net Zero และ 4 แนวทางลดคาร์บอนอย่างเป็นระบบ

บ้านปูฯ ได้กำหนดเป้าหมายสำคัญคือการเป็นองค์กร Net Zero ภายในปี 2050 และลดคาร์บอนให้ได้มากกว่า 20% ภายในปี 2030 ใน 9 ประเทศที่บริษัทมีธุรกิจอยู่ โดยใช้กลยุทธ์ Energy Symphonics และ 4 แนวทางหลักในการลดคาร์บอน ได้แก่:

  1. Avoid: หลีกเลี่ยงการปล่อยคาร์บอน เช่น ขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน 
  2. Reduce: ลดการปล่อยผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI 
  3. Remove: ดักจับและกักเก็บคาร์บอนด้วยเทคโนโลยี CCUS (Carbon Capture, Utilization and Storage) ซึ่งเริ่มดำเนินการแล้วในสหรัฐฯ 
  4. Offset: ชดเชยการปล่อยคาร์บอนผ่านวิธีทางธรรมชาติ เช่น ปลูกป่าในอินโดนีเซีย หรือผ่านระบบ Carbon Trading 

โดยบ้านปูฯ ถือเป็นบริษัทไทยรายแรกที่สามารถดำเนินโครงการ CCUS ได้สำเร็จในต่างประเทศ สร้างก๊าซ “สีเขียว” ที่มีมูลค่าสูงในตลาดพลังงาน
 

รองศาสตราจารย์ ดร.นพพล อรุณรัตน์. รองคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ

 

มหิดลร่วมขับเคลื่อนการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงผ่าน Co-Design Learning

อาจารย์จากคณะสิ่งแวดล้อมฯ มหาวิทยาลัยมหิดล เสริมว่า การจัดค่ายเช่นนี้เป็นการปลูกฝังเยาวชนในฐานะ “กำลังคนของอนาคต” ให้รู้จักวิธีแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยใช้แนวทาง Co-Design Learning ที่ร่วมกันวางเป้าหมายและออกแบบการเรียนรู้ตามปัญหาสิ่งแวดล้อมจริงในแต่ละปี

สำหรับปีนี้ ปัญหาโลกร้อนและการลดคาร์บอนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกประเทศต่างเร่งดำเนินการ ประเทศไทยเองก็ได้วางแผนจะเป็น Carbon Neutral ภายในปี 2050 และ Net Zero ในปี 2060 ถึงแม้ว่าเป้าหมายจะล่าช้ากว่าหลายประเทศ

 

 

Decarbonization สำเร็จได้ด้วย 3 แกนหลัก

อาจารย์มหิดลเสนอว่า ความสำเร็จของการลดคาร์บอนต้องประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่:

  1. Sustainability (ความยั่งยืน): ทุกภาคส่วนต้องเปลี่ยนผ่านสู่รูปแบบที่ยั่งยืน ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ ชีวิตประจำวัน ไปจนถึงระบบการศึกษา 
  2. Technology (เทคโนโลยี): ต้องอาศัยนวัตกรรม เช่น CCUS, ดาวเทียมตรวจวัดคาร์บอน ฯลฯ เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอน 
  3. Collaboration (ความร่วมมือ): การแก้ปัญหาไม่สามารถทำได้โดยลำพัง ต้องเริ่มตั้งแต่ครอบครัว โรงเรียน ไปจนถึงระดับภาคอุตสาหกรรม 

โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา มีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังแนวคิดเรื่องความยั่งยืน และผลิตคนรุ่นใหม่ที่มีจิตสำนึกในการดูแลสิ่งแวดล้อม

 

 

เยาวชนคือเมล็ดพันธุ์แห่งอนาคต

ท้ายที่สุด ผู้จัดค่ายต่างเห็นตรงกันว่าเยาวชนคือผู้ที่จะเติบโตไปทำงานในภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ หรือภาควิชาการในอนาคต การสร้างจิตสำนึกและให้ความรู้ตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้พวกเขาเป็น “เมล็ดพันธุ์แห่งความเปลี่ยนแปลง” ที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ

ด้วยการออกแบบกิจกรรมที่เน้นการลงมือทำจริง ผสานองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และเชื่อมโยงเข้ากับเป้าหมายระดับโลก “Power Green Camp: The Decarb Mission” จึงไม่ใช่แค่ค่ายฤดูร้อนธรรมดา แต่คือเวทีสร้างอนาคตของประเทศไทยและโลกใบนี้ในมือของเยาวชน