เหลือเวลาเพียง 7 วันจะเข้าสู่คูหาเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ออกนโยบายหวังเกี่ยวคะแนน ชู 5 มาตราการปราบโกง หวังตัดวงจรทุจริตให้หมดจากระบบราชการและการเมืองไทย
เมื่อวาน (17 มี.ค.62) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้แถลงนโยบายช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ซึ่งมีเวลาเหลือเพียง 7 วันจะเข้าคูหาด้วยการนำเสนอปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยระบุว่า ปัจจุบันการทุจริตคอร์รัปชั่นมี 3 รูปแบบ ประกอบด้วย 1.การปล้นประเทศโดยใช้งบประมาณที่ไม่ถูกต้อง 2.การปล้นประชาชน เก็บส่วย รีดไถ 3.การวางแผนกลับมาปล้นโดยใช้นโยบายเอื้อประโยชน์กับพวกพ้อง
โดยทางนายอภิสิทธิ์ได้กล่าวว่าทางพรรคประชาธิปัตย์มีเครื่องมือสำหรับการแก้ปัญหานี้ 5 ตัว ประกอบด้วย
1.การนำเทคโนโลยีมาใช้ ทั้งการพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า“แจ้งโกง” เริ่มต้นจากเทคโนโลยี โดยการพัฒนาแอพพลิเคชั่น ทำให้ประชาชนแจ้งเบาะแสการโกง ซึ่งมีความสะดวก รวดเร็ว และคุ้มครองข้อมูลที่ประชาชนแจ้งเข้ามา หลายประเทศพบว่าเมื่อมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ จะมีประชาชนจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วม, Govtech คุมจัดซื้อจัดจ้าง มามีส่วนช่วยในการบริหารจัดการภาครัฐ ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การออกแบบการประมูล การแข่งขัน การกำหนดราคากลาง ปชป.เคยบังคับใช้ให้เปิดเผยข้อมูลส่วนนี้ แต่รัฐบาลปัจจุบันยกเลิกไป เปิดเผยราคากลางและวิธีกากรคำนวณออนไลน์/เปิดเผยภาษีที่ดินออนไลน์ ป้องกันการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง ทำให้มั่นใจว่าข้อมูลที่เกี่ยวกับภาครัฐมีความโปร่งใสให้เกิดขึ้นได้ และพบผิดความผิดปกติได้
2.การมีส่วนร่วมของประชาชน ทั้งการจัดทำหลักสูตร “โตไปไม่ยอมให้ใครโกง” และสนับสนุนองค์กรที่ทำหน้าที่พิทักษ์ความโปร่งใส รวมถึงให้รางวัลและการคุ้มครองแก่ผู้ชี้เป้าเบาะแส ขณะที่รัฐบาลจะต้องใช้สัญญาคุณธรรมอย่างจริงจังในการตรวจสอบในโครงการขนาดใหญ่ พร้อมประสานงานกับสมาคมของสื่อมวลชนและสถาบันการศึกษาที่ทำงานวิจัยเรื่องการตรวจสอบทุจริต
3.การสังคายนากฎหมายที่ไม่จำเป็น ล้าสมัย หรือเอื้อให้เจ้าหน้าที่รัฐกระทำทุจริตหรือใช้อำนาจมากเกินไป จะต้องออกกฎหมายเฉพาะเพื่อรับมือกับการทุจริตที่ตอนนี้มีการพัฒนารูปแบบไปมาก ต้องมีกฎหมายเฉพาะในการปราบโกง, ตั้งหน่วยงานตรวจสอบงบประมาณ ที่ไม่ได้อยู่ในฝ่ายบริหาร ทำให้มีความอิสระในการจัดสรรงบประมาณ, ยกเครื่อง ป.ป.ช. ปัจจุบัน ป.ป.ช.มีปัญหาในการสืบสอบสอบสวน ตัดสิน และชี้มูลที่ล่าช้า คำวินิจฉัยบางคดีมีข้อกังขามากมายว่าถูกแทรกแซงหรือไม่
4.ยกเครื่องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต้องปรับให้มีการชี้มูลได้ภายใน 6 เดือน ต้องเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมด ทั้งนี้จะปรับปรุงแก้ไขพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ก่อนจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงกรรมการป.ป.ช.
5.การออกแบบระบบในการบริหารราชการแผ่นดิน เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งการกระจายอำนาจการปกครองจะมีส่วนช่วยในการลดการทุจริต โดยจะออกกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารท้องถิ่นโดยเฉพาะ ต้องปฏิรูปตำรวจอย่างจริงจัง ถ้าเราจะไปอยู่ในรัฐบาล คนของพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งผู้ที่เป็นส.ส.และรัฐมนตรี จะต้องเปิดเผยว่าครอบครัวและญาติพี่น้องของแต่ละคนประกอบธุรกิจใดบ้าง เพื่อให้มีการตรวจสอบคนของเราได้
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า “มาตรการทั้งหมดยังไม่พอ สิ่งที่ ปชป.เคยทำมาตลอดคือ ความรับผิดชอบทางการเมืองต้องสูงกว่ามาตรฐานที่ถูกกำหนดไว้ในทางกฎหมาย หลายคนมองข้ามลืมไปในวันที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี เกิดเรื่องขึ้นมาในบางกระทรวง สิ่งที่เกิดขึ้นใน ปชป.คือ รัฐมนตรีที่เกี่ยวของลาออกทันที เพื่อเปิดทางให้มีการสอบได้อย่างอิสระ ลดปัญหาที่จะต้องให้สังคมติดหล่ม โต้แย้งเป็นเดือนเป็นปี จนทำลายศรัทธาระบบสภา และการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และกรณีของรัฐบาลผม รัฐมนตรีที่ออกไปนั้น มีการตรวจสอบภายหลังว่าท่านไม่ได้ผิด แต่อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่ท่านตัดสินใจเพื่อไม่ให้เป็นภาระของรัฐบาล และสังคม แต่รักษาศรัทธาเอาไว้”
นอกจากนี้ การใช้สิทธิพิเศษของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส.ส. และรัฐมนตรี ต้องถูกเปิดเผย อาทิ สิทธิเดินทางหรือเรื่องตั๋วเครื่องบิน และการใช้งบประมาณในการดูแลรับรองของรัฐมนตรี ต้องถูกรายงานให้พรรคทราบและตรวจสอบได้ว่าสมเหตุผลหรือไม่ ตนคิดว่าสิทธิบางอย่างควรถูกยกเลิก เช่น รัฐมนตรี ไม่จำเป็นต้องนั่งระดับเฟิร์สคลาส บนเครื่องบินอีกแล้ว
“อยากให้ทุกพรรคการเมืองเห็นความสำคัญกับเรื่องนี้เช่นกัน เหลือไม่กี่วันจะเลือกตั้ง แต่หลายพรรคบอกกันว่าการทุจริตเป็นเรื่องวาทกรรม ซึ่งไม่ใช่แน่นอน เพราะมันเป็นภัยร้าย ถ้ารัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตยทุจริต บ้านเมืองเราจะวนเวียนในวงจรอุบาทว์ ยืนยันว่าหมดเวลาเกรงใจแล้ว” กล่าวในที่สุด
