“พุทธิพงษ์” นำทีม “ผู้สมัคร ส.ส.พปชร.”หาเสียงสวนจตุจักร พ่อ-แม่ค้า แห่ขอถ่ายรูปให้กำลังใจเพียบ ขอเป็นทางเลือกคนกรุง เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ปัด ตามรอย”ลุงตู่”วอนอย่าเชื่อมโยง ไม่หวั่นถูกยื่นสอบคุณสมบัติ ชี้เป็นเรื่องดี แต่ผลออกมาต้องยอมรับ
เวลา 13.20 น.ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ช่วย น.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 6 ราชเทวี พญาไท จตุจักร (เฉพาะแขวงจตุจักร จอมพล) เบอร์ 11 หาเสียงกับพ่อค้าแม่ค้า ประชาชน และนักท่องเที่ยว บริเวณโดยรอบตลาดนัดสวนจตุจักร ชูนโยบายพัฒนาพื้นที่ อัพเกรดเมืองกรุง ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก พ่อค้า แม่ค้า และประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี ให้ความสนใจมารุมขอถ่ายรูป รวมถึงสอบถามถึงนโยบายและแนวทางการสานต่อนโยบายของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
นายพุทธิพงษ์ ให้สัมภาษณ์ว่า แม้พรรคพลังประชารัฐจะเป็นพรรคการเมืองใหม่แต่เราก็จะทำหน้าที่ในการเป็นทางเลือกให้กับคนไทยและคนกทม.แม้ว่าในทุกพื้นที่จะมีเจ้าของพื้นที่อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ แต่พรรคพลังประชารัฐเราเน้นขายความแตกต่าง ผู้สมัครเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ มียุทธศาสตร์และเสนอตัวเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อเปลี่ยนแปลง กทม.ซึ่งตลอด 2 สัปดาห์หลังการลงพื้นที่หาเสียงก็พบว่าคะแนนนิยมของพรรคเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามเห็นว่าแม้ในพื้นที่เขต 6 ราชเทวีพญาไท จตุจักร พรรคพลังประชารัฐจะต้องแข่งขันกับนายอรรถวิทย์ สุวรรณภักดี ผู้สมัครส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ส่วนตัวเห็นว่าวันนี้ถึงเวลาแล้วที่คน กทม.ต้องตัดสินใจ ถ้าอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในกทม. อยากเห็นการเมืองสร้างสรรค์ ไม่โจมตี ใส่ร้ายป้ายสี ก็ต้องให้โอกาสพรรคพลังประชารัฐได้เข้ามาทำงานเพราะเราตั้งใจจริง และเชื่อว่าประชาชนจะใช้วิจารณญาณในการพิจารณาตัดสินนี้
ต่อข้อซักถามที่ว่า การลงพื้นที่ตามรอย พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของพปชร.หรือไม่ นายพุทธิพงษ์ ชี้แจงว่า “เป็นความบังเอิญ พรรคได้มีกำหนดการที่จะลงพื้นที่ต่างๆในกรุงเทพ ไว้อยู่แล้ว จริงๆเราอยากจะลงเมื่อวานนี้ด้วยซ้ำตามกำหนดการเดิมคือวันเสาร์ แต่เราเห็นว่าท่านนายกรัฐมนตรีมีกำหนดการมาลงพื้นที่ในวันเสาร์เหมือนกัน เราก็หลีกเลี่ยงให้เพราะเราไม่อยากให้เป็นประเด็นเรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบกับผู้ที่เราเสนอชื่อให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในเรื่องนี้พรรคพลังประชารัฐก็มีการเตรียมตัวและระมัดระวัง เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในการหาเสียง ไม่เช่นนั้นเราคงมาตั้งแต่เมื่อวาน ดังนั้นการจะวิพากษ์วิจารณ์ ต้องดูด้วยว่า เป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ “
นายพุทธิพงษ์ กล่าวด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่สามารถช่วยพรรคหาเสียง ปราศรัย หรือดีเบตได้ เพราะติดปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย ที่สำคัญพล.อ.ประยุทธ์ ต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง แต่การขึ้นรูปคู่กับผู้สมัครสามารถทำได้ โดยยอมรับว่า ตัวพล.อ.ประยุทธ์ มีส่วนสำคัญต่อคะแนนนิยมของพรรค เพราะบ้านเมืองต้องการความสงบเรียบร้อย ในการขับเคลื่อนประเทศ หากไม่สงบ การแก้ปัญหาต่างๆโดยเฉพาะเศรษฐกิจ จะไม่สามารถเดินต่อไปได้ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงถือเป็นความเชื่อมั่นให้กับประเทศในเรื่องนี้
สำหรับกระแสที่กล่าวหาว่า “พรรคพลังประชารัฐก๊อปปี้นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า “ทุกพรรคพยายามสรรหานโยบายที่ดีต่างๆมาให้ประชาชน แนวนโยบายทุกพรรคต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำจะก๊อปปี้กันยาก นโยบายต่างๆนั้นสามารถพูดให้ดูดีได้ แต่สำคัญที่ว่าพูดแล้วต้องสามารถทำได้จริงอาจจะไม่ต้องเป็นนโยบายที่สวยหรูมาก แต่คนกรุงเทพอยากไปได้ นโยบายที่สามารถเมื่อเข้ามาแล้วสามารถทำได้จริง พรรคพลังประชารัฐจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ยกตัวอย่าง รถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพต้องยอมรับว่าเมื่อ 20-30 ปีที่แล้วจนถึงวันนี้ ก่อนหน้านี้ 5 ปี คนกรุงเทพมีรถไฟฟ้าใช้อยู่แค่ 2 สาย 4 ปีที่ผ่านมามีรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ประมาณ 7 สายไปอีก 5 ปีข้างหน้าทั้งหมดจะเสร็จ คนกรุงจะสามารถสัญจรไปมาได้อย่างสะดวก นี่เป็นสิ่งที่พรรคพลังประชารัฐอยากจะสานต่อให้เสร็จเรียบร้อย”
ส่วนกรณีที่มีการยื่นตรวจสอบคุณสมบัติของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น นายพุทธิพงษ์ เห็นว่า การตรวจสอบเป็นเรื่องที่ดี และจำเป็น ในระบอบประชาธิปไตย แต่เมื่อตรวจสอบแล้วจะต้องให้การยอมรับ และเชื่อมั่นในผลที่ออกมา พร้อมยืนยัน การใช้อำนาจตาม มาตรา 44 ของพล.อ.ประยุทธ์ ใช้ตามความเหมาะสมเพื่อแก้ปัญหาข้อติดขัด ไม่เคยใช้เพื่อให้คุณให้โทษกับใคร ไม่เคยใช้เพื่อช่วยพวกพ้อง หรือ ใช้เพื่อช่วยคนทุจริต ส่วนที่เคยออกคำสั่งปลดนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.นั้น ก็มีเหตุผลเช่นกัน
เมื่อสอบถามว่า ถ้าพรรคไทยรักษาถ้าถูกยุบจะทำให้พรรคพลังประชารัฐมีโอกาสขึ้นเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลมากขึ้นหรือไม่ “เราไม่ได้สนใจเรื่องของการดำเนินการของ พรรคไทยรักษาชาติ เพราะเราคิดว่า พรรคทษช. ก็เป็นพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ที่อาสาตัวเข้ามาในการเลือกตั้งในครั้งนี้ เราก็ทำหน้าที่ของเรา พรรคพปชร.ไม่มีนโยบายที่จะไปซ้ำเติมพรรคการเมืองอื่นหรือถือว่าเป็นความได้เปรียบ เราอยากทำการเมืองแบบใหม่แบคนรุ่นใหม่ เพราะฉะนั้นเรื่องของการใช้ประโยชน์ ใช้ความได้เปรียบ จากการที่พรรคหนึ่งจะถูกยุบหรือเดือดร้อน เราจะไม่เข้าไปก้าวก่าย เราจะทำงานของเราไปเพราะพรรคการเมืองทุกพรรคถือว่าเป็นเพื่อนเรา นายพุฒธิพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย