นักวิชาการมธ.อัดยับ “ธนาธร” อันตรายกว่า “ทักษิณ”

นักวิชาการมธ.อัดยับ “ธนาธร” อันตรายกว่า “ทักษิณ”


เฟซบุ๊กของนายสุวินัย ภรณวลัย Suvinai Pornavalai นักวิชาการคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาเผยแพร่ข้อคิดเห็น โดยอ้างว่าเป็นความคิดเห็นของข้าราชการกระทรวงการคลังคนหนึ่ง ระบุถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อีกทั้งยังชี้ว่าแนวคิดของอนาคตใหม่ และนายธนาธร ถือได้ว่ามีความอันตรายอย่างมาก เนื้อหาในเฟซบุ๊ก ระบุว่า

“ทำไมพรรคอนาคตใหม่ของธนาธรอันตรายถึงขั้นจำเป็นต้อง ตระหนัก ?
ถึงเพื่อนๆที่เคารพรักทุกท่าน

ก่อนเลือกตั้งผมจะต้องเขียนบทความที่ชี้แจงถึงความอันตรายของธนาธรว่าเขาเป็นคนโกหกหลอกลวงปลิ้นปล้อนขนาดไหนเพราะนโยบายทั้งหมดที่เขาได้กล่าวไปในการหาเสียงแทบจะทำจริงไม่ได้เลยสักอย่าง

ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการยกเลิกทหารเกณฑ์การลดงบประมาณของกองทัพอย่างมหาศาลการให้สวัสดิการรักษาพยาบาลประชาชนเทียบเท่าข้าราชการ การ ปรับปรุงปฏิรูประบบทุนทุกสิ่งที่พูดไปหากทำ ได้จริงประเทศก็จะล้มละลายภายในระยะเวลา 1 ปี

ซึ่งนั่นหมายความว่าเขารู้อยู่แล้วว่าทุกสิ่งที่พูดไปทำไม่ได้ แต่ก็ยังจะใช้หาเสียง มนุษย์คนนี้อันตรายยิ่งกว่าทักษิณ ชินวัตร
ถ้าหากให้พูดอย่างสั้นๆ เอาง่ายๆ ตั้งแต่การยกเลิกระบบการเกณฑ์ทหารและเปลี่ยนมาใช้เงินจ้างในอัตราสูง รวมถึงให้สวัสดิการทหารเกณฑ์ แน่นอนว่าแค่นโยบายนี้นโยบายเดียวก็ทำให้คลังแตกได้เลย เพราะหากจะต้องให้คนเต็มใจที่อยากจะเป็นทหารเกณฑ์หรือเป็นพลทหารโดย

การใช้เงินเดือนสูงๆ มาล่อ ถ้าหากเราต้องการกำลังพลเพียง 50,000 เงินที่ต้องใช้มหาศาล ขณะที่เรียกได้ว่าต้องยุบข้าราชการประจำ 1 กระทรวงเล็กๆ เลยทีเดียว นอกจากนี้ หากให้สวัสดิการเทียบข้าราชการ แถมพ่วงด้วย หมายถึงว่า เราจะต้องใช้งบประมาณทางด้านสาธารณสุขอย่างมหาศาลในการออกวิ่งคนพวกนี้รวมถึงพ่อแม่และลูกเมียเขา ซึ่งนโยบายทางสาธารณสุขงบประมาณตรงนี้ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ หากพ่อของพลทหารคนหนึ่งมีปัญหาที่ต้องฟอกไตทุกเดือน และแม่ของพลทหารคนหนึ่งมีปัญหาเรื่องเบาหวาน แค่นี้ค่าใช้จ่ายต่อหัวก็จะเพิ่มขึ้นมาเดือนนึงหลักแสน คนนึงต่อปีก็จะเป็นหลักล้าน
แน่นอนว่าคลังไม่ได้มีเงินเยอะให้ขนาดนั้น นี่ยังไม่นับรวมนโยบายอื่นๆอีกมากมายซึ่งทุกนโยบายล้วนไม่สามารถทำได้ในทางปฏิบัติ

และไหนจะนโยบายสาธารณสุขสุดเพ้อฝัน นั่นคือการชูคำว่าเท่าเทียมเพื่อต้องการเรียก และเป็นการสร้างอารมณ์ร่วมของประชาชน โดยยกเรื่องสิทธิ์สวัสดิการว่าจะให้สิทธิ์ 30 บาทบัตรทองและสิทธิ์เบิกจ่ายข้าราชการเท่ากันทั้งประเทศ

แค่ทุกวันนี้สิทธิ์เบิกจ่าย ค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการก็แทบจะทำให้คลังไม่มีเงินอยู่แล้ว ซึ่งข้าราชการในแต่ละปี 10 น้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันแม้แต่การผ่าตาต้อข้าราชการก็ยังจะต้องสำรองจ่ายค่าเลนส์เทียม เพียงแต่ว่าค่าหัตถการ และการผ่ายังสามารถทำเบิกจ่ายได้อยู่ โดยที่กรมบัญชีกลางจะส่งเงินตรงนี้ไปให้สปสช.และให้ทางกระทรวงสาธารณสุขเบิกมาอีกที

แต่ถ้าหากให้สิทธิ์เหล่านี้กลับประชาชนทั้งประเทศแน่นอนว่าล้มละลายภายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งปีแน่นอน
เมื่อย้อนกลับมาพูดว่าทำไมข้าราชการประจำจึงจำเป็นต้องได้รับสิทธิ์สวัสดิการ ด้านการรักษาที่ดี คงต้องชี้แจงว่าข้าราชการประจำ ถ้าหากดูเงินเดือนที่ได้รับกับงานที่ทำนับได้ว่าต่ำกว่าภาคเอกชนอยู่มากพอสมควร หลายคนที่มีความสามารถเก่งกาจ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการกระทรวงการคลังบางคนที่มีประวัติดีเลิศเคยทำงานระดับ World Bank แต่ยอมเสียสละมาเป็นข้าราชการประจำรับเงินเดือนแค่ไม่กี่หมื่น ดังนั้น สิทธิ์สวัสดิการรักษาพยาบาลจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องให้ข้าราชการต่อไป และก็ไม่ต่างจากบริษัทเอกชนใหญ่ๆ ที่มีผลประกอบการดีหลายที่ที่ให้สวัสดิการรักษาพยาบาลหรือซื้อประกันให้กับพนักงานเพิ่ม หากจะต้องการทำให้ได้ดั่งที่เขาพูดจริงกระทรวงการคลังจะต้องทำการเก็บภาษีเพิ่มอย่างมหาศาล

ซึ่งอันที่จริงส่วนนี้เขาก็ทราบดีว่าทำไม่ได้เพราะโฆษกพรรคก็คือหมอที่จบจากโรงเรียนแพทย์ชั้นนำริมแม่น้ำเจ้าพระยามีหรือจะไม่รู้ แต่ร่วมกันหลอกลวงและมอมเมาประชาชนเพียงเพื่อต้องการได้คะแนนเสียง

ผมขอย้อนพูดในส่วนของ การเก็บภาษี ในฐานะที่เป็นนักเรียนเก่าเยอรมัน ภาษีของเยอรมันไม่ได้สูงแค่ในส่วนของ vat หรือภาษีมูลค่าเพิ่มเยอรมันเป็นหนึ่งในประเทศที่มีภาษีย่อยและเยอะมาก เก็บภาษีทุกอย่างแม้แต่ภาษีวิทยุภาษีโทรทัศน์ และภาษีอินเตอร์เน็ต ถ้าพูดไปหลายคนคงไม่เข้าใจ เพราะภาษีเหล่านี้ไม่ได้มีการนำมาใช้ในประเทศไทย ยกตัวอย่าง ภาษีวิทยุ เช่นหากคุณเอมีรถ 1 คันและในบ้านมีวิทยุ 2 ตัวนั่นหมายถึงว่าใน 1 เดือนคุณเอจะต้องจ่ายค่าภาษีวิทยุทั้งหมด 3 หน่วย เพราะแม้แต่วิทยุในรถก็ถือว่าเป็นภาษีหนึ่งหน่วย จะเห็นได้ว่าภาษี และครอบคลุมทุกอย่างมาก หากทำอย่างนี้กับคนไทยแน่นอนว่าคงโวยวายกันทั้งประเทศ อันนี้ยังแค่พูดในเรื่องของนโยบาย เป็นจริงไม่ได้เพราะไม่สอดคล้องกับการคลังของประเทศ

อีกสิ่งที่วัยรุ่นทั้งหลายควรทราบว่าผู้นำอายุน้อย ไม่ได้นำพาสิ่งใหม่ๆ ที่ดีมาสู่ประเทศเสมอ อาทิเช่น ประเทศฝรั่งเศส พึ่งมี ประธานาธิบดีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมาเป็นประธานาธิบดีในช่วงอายุ 39 ปี และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือยุคมืดและความตกต่ำของประเทศฝรั่งเศสรวมถึงการเผาทั้งประเทศ
จากใจข้าราชการกระทรวงการคลังตัวน้อยๆ คนหนึ่ง”